Friday, April 26, 2024
Latest:
Property

ออริจิ้น ชูแผนธุรกิจ “Origin Multiverse” ขับเคลื่อน 3 แนวทาง “Expanding-Growing-Connecting” ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม มุ่งสู่เป้าขายรวม 100,000 ล้านบาท ภายในปี’68

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดแผนการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “ORIGIN MULTIVERSE” หรือแผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล ประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก ได้แก่ 1.ขยายสู่จักรวาลใหม่ (Expanding to the new universe) 2.แยกกันเติบโตแบบคู่ขนาน (Growing in the separated timeline) และ 3.เชื่อมโยงอีโคซิสเท็ม (Connecting the ecosystem) เพื่อยกระดับคุณภาพกลุ่มผู้บริโภคของคนทุกช่วงวัย ของบริษัทฯ ให้ได้รับการให้บริการที่ดีที่สุดในทุกๆธุรกิจ พร้อมตั้งเป้าการดำเนินธุรกิจของทุกๆ บริษัทฯ มีมูลค่าทางการตลาดรวมกันมากกว่า 100,000 ล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 2568

พีระพงศ์​ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า บริษัทฯดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์มากว่า 12 ปี มีการพัฒนาและปรับตัวเพื่อรับในทุกๆ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างดีที่สุด และเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะสถานการณ์ COVID-19 ที่เกิดขึ้น ตลอดจนเมกะเทรนด์ระยะยาวของโลก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคให้ดีที่สุด สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ. 2565 นี้ ทางบริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจด้วยแผนดำเนินงานใหม่ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญภายใต้แนวคิด “ORIGIN MULTIVERSE” หรือแผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล

ภายใต้แผนดังกล่าวประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก ได้แก่ 1.ขยายสู่จักรวาลใหม่ (Expanding to the new universe) จากเดิมที่บริษัทฯ มีธุรกิจหลักคือพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ขยายตัวเองเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย 2.กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ 3.กลุ่มธุรกิจบริการ 4.กลุ่มเมกะเทรนด์ระยะยาว ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ ยังคงประกอบด้วยธุรกิจย่อยๆ ที่ทยอยเกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา เช่น โลจิสติกส์ เฮลท์แคร์ ประกันภัย พลังงาน การเงิน ร้านอาหาร กัญชง และอาจมีธุรกิจย่อยๆซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในอนาคตอีก 2.แยกกันเติบโตแบบคู่ขนาน (Growing in the separated timeline) ให้ทุกบริษัทย่อยมีเส้นทางการเติบโตแบบคู่ขนานในจักรวาลของบริษัทฯ ผ่านการจัดทัพผู้บริหารมืออาชีพในธุรกิจนั้นๆ เข้าไปช่วยดูแลทิศทางการเติบโต สร้างจุดแข็งให้แก่ทุกกลุ่มธุรกิจ โดยจะมีบริษัทย่อยที่มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) (IPO) เพิ่มเติม นำโดย บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ผู้นำธุรกิจบริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ เช่น โรงแรม ออฟฟิศ ค้าปลีก บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด บริษัทร่วมทุนกับบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม เช่น คลังสินค้า โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ครบวงจร และในช่วงก่อนหน้านี้ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2564 ทางบริษัทฯได้ส่งบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) เข้า IPO ไปแล้ว และ3.เชื่อมโยงอีโคซิสเท็ม (Connecting the ecosystem) เชื่อมโยงทุกธุรกิจที่แยกย้ายกันไปเติบโต กลับมาดูแลผู้บริโภคร่วมกันเป็นอีโคซิสเท็ม สร้าง Multiverse of Happiness ที่ครอบคลุมการดูแลและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร

“หากทำได้ตามแผนการดำเนินธุรกิจที่วางไว้จะทำให้ภายในปี พ.ศ. 2568 บริษัท ฯและทุกบริษัทที่เข้าจดทะเบียนจะกลายเป็นอาณาจักรที่มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) รวมกันมากกว่า 100,000 ล้านบาท จากปี พ.ศ.2564 ที่มีมูลค่าตลาด 40,000 ล้านบาท” พีระพงศ์ กล่าว

พีระพงศ์ กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ.2565 ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าทุกด้านแบบ All Time High เริ่มต้นจากเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 31 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 42,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 137% แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 13,400 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 19 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,600 ล้านบาท โดยในฝั่งคอนโดมิเนียมจะเติบโตไปในทุกเซ็กเมนท์ มีแบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น แบรนด์ ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play) ออริจิ้น เพลส (Origin Place) และบุกทำเลใหม่ๆ เช่น ฝั่งธนบุรี เป็นต้น และจะมีโครงการใหม่ที่เป็นเมกะโปรเจกต์ย่านทองหล่อ ภายใต้ชื่อ “ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์” (Origin Thonglor World) ที่มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 15,000 ล้านบาท โดยจะทยอยเปิดตัวโครงการอีกครั้งเร็วๆ นี้

ในส่วนของเป้ายอดขายในปี พ.ศ.2565 นั้น ทางบริษัทฯตั้งเป้าไว้ที่ 35,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เดือนมกราคม- กุมภาพันธ์ บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายไปแล้ว 6,000 ล้านบาท ส่วนเป้ารายตั้งเป้าไว้ที่ 17,500 ล้านบาท จากที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจประสบความสำเร็จในปี พ.ศ.2564 สร้างธุรกิจเติบโตทุกๆด้าน โดยสร้าง New High ยอดโอนรวมโครงการกิจการร่วมค้ากว่า 16,157 ล้านบาท มีรายได้รวม 15,943 ล้านบาท และเติบโตจากช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. 2563 กว่า 43% มีกำไรสุทธิ 3,194 ล้านบาท เติบโตจากปี พ.ศ. 2563 กว่า 20% ส่งผลให้บริษัทฯ เตรียมจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นงวดสิ้นปี พ.ศ. 2564 ในอัตรา 0.42 บาทต่อหุ้น

ด้านปัจจัยและความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในปี พ.ศ.2565 นั้น พีระพงศ์ เปิดเผยว่า ยังมีความกังวลในเรื่อง COVID-19 ที่ยังส่งผลกระทบการก่อสร้างของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทำให้ขาดแคลนแรงงานก่อสร้างจากประเทศเพื่อนบ้านและความไม่มั่นใจในการซื้อธุรกิจของกลุ่มผู้บริโภคยังคงชะลอการซื้อทั้งอยู่อาศัยเองและเก็บไว้ปล่อยเช่า นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านปัญหาสงคราม รัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้กลุ่มผู้บริโภคและนักลงทุนที่อยู่ในประเทศรัสเซียที่เป็นลูกค้าของบริษัทฯดีรับผลกระทบเพราะนานาประเทศเริ่มออกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและธุรกิจประเทศรัสเซียแล้ว ซึ่งทางบริษัทฯ มีแผนกระจายความเสี่ยงมองหากลุ่มผู้บริโภคลูกค้าจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศฮ่องกงและจีนทดแทนกลุ่มผู้บริโภคลูกค้าจากประเทศรัสเซียไว้แล้ว

ด้านจตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจที่ดูแลบริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เช่น บริการที่ปรึกษาและตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ บริการบริหารจัดการนิติบุคคล บริการตกแต่งภายใน บริการขนย้าย บริการด้านความสะอาดและความปลอดภัย บริการบริหารโรงแรมและที่อยู่อาศัย โดยบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจบริการใหม่ๆ เพื่อขยายขอบเขตการดูแลผู้บริโภค รวมถึงมีหลากหลายกลยุทธ์ที่จะชิงส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างดีที่สุด โดยปี พ.ศ.2564 ที่ผ่านมาบริษัทฯ สร้างรายได้ 490 ล้านบาท คิดเป็น 23% และในปี พ.ศ.2565 ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 600 ล้านบาท คิดเป็น 23-25% ส่วนเป้ารายได้ใน ปี พ.ศ.2566 ตั้งไว้ที่ประมาณ 750 ล้านบาท คิดเป็น 24-26% และวางแผนที่จะนำบริษัทฯเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เร็วสุดในช่วงปลายปี พ.ศ. 2565 หรือช้าสุดช่วงต้นปี พ.ศ. 2566 โดยมีที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) คือ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด

ปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ทยอยปรับโครงสร้างภายในอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า ธุรกิจค้าปลีก แต่จะมีธุรกิจอื่นๆ ภายใต้การบริหาร เช่น ธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในแถบเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และหัวเมืองสำคัญต่างจังหวัด ธุรกิจร้านอาหาร โดยในปี พ.ศ.2564 ที่ผ่านมามีรายได้ประมาณ 1,350 ล้านบาท ส่วนในปี พ.ศ.2565 ตั้งเป้ามีรายได้ประมาณ 1,550 ล้านบาท ในปี พ.ศ.2566 ตั้งเป้ามีรายได้ประมาณ 2,500 ล้านบาท และภายในช่วง 5 ปีจากนี้ จะได้เห็นโครงการภายใต้การพัฒนาของบริษัทฯ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 49,100 ล้านบาท สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีที่ปรึกษาทางการเงินคือ ธนาคารไทยพาณิชย์​ (SCB) คาดว่าจะเข้าได้ในช่วงประมาณปี พ.ศ.2566

ปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ จัดตั้งเมื่อช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ของ ปี พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา โดยดำเนินธุรกิจพัฒนาที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ห้องควบคุมอุณหภูมิครบวงจร ทั้งในเรื่องคลังสินค้าและห้องเย็นให้เช่า เป็นต้น เบื้องต้นครอบคลุมในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปทุมธานี อยุธยา ระยอง ชลบุรีและสมุทรสาครโดย ณ สิ้นปี พ.ศ. 2564 มีการพัฒนาที่ดินให้เช่าทางด้านอุตสาหกรรมเร็วกว่าแผนดำเนินธุรกิจที่วางเอาไว้กว่า 155,000 ตารางเมตร จากแผนเดิมประมาณ 40,000 ตารางเมตร ส่วนปี พ.ศ.2565 ตั้งเป้าพัฒนาที่ดินเพื่อดำเนินธุรกิจประมาณ 210,000 ตารางเมตร ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนงานดำเนินธุรกิจในส่วนของโครงการและโปรเจกต์ ทั้งผ่านการซื้อกิจการ และการพัฒนาเอง เพื่อนำไปสู่เป้าหมายพื้นที่ภายใต้บริหารจัดการกว่า 1,000,000 ตารางเมตร ภายในปี พ.ศ.2568

สำหรับการพัฒนาโครงการแรกในย่านบางนา กม.22 ภายใต้ชื่อ แอลฟา บางนา กม.22 คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ.2565 ส่วนการรับรู้รายได้จากธุรกิจนั้นคาดว่าน่าจะรับรู้ภายในปี พ.ศ.2565 สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) มีที่ปรึกษาทางการเงินคือ บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในปี พ.ศ. 2567-2586