เขื่อน-เหมืองลุ่มแม่น้ำโขง สะท้อนวิกฤตสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชน จี้ไทยออกกฎหมายข้ามพรมแดนปิดช่องโหว่
ท่ามกลางกระแสการลงทุนด้านพลังงานข้ามพรมแดนในลุ่มน้ำโขง เสียงสะท้อนจากภาคประชาสังคมยังคงเตือนถึงความเปราะบางของระบบนิเวศและความเสี่ยงที่ประชาชนจะต้องเผชิญ รวมถึงช่องว่างของมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมเอเชีย (Fair Finance Asia – FFA ) และ แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand – FFT) จึงร่วมกันแสดงจุดยืนเน้นย้ำให้สถาบันการเงินทั่วเอเชียจำเป็นต้องดำเนินการอย่างจริงจังและมีความรับผิดชอบมากขึ้น เพื่อ“รับมือกับผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนที่เกิดจากการจัดหาเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน”
แม้โครงการเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารที่ลงนามตามหลักการสากลอย่าง Equator Principles แต่กลับยังมีข้อบกพร่องหลายด้าน ทั้งการไม่ประเมินผลกระทบเชิงสะสม การเพิกเฉยต่อความเสี่ยงจากสารพิษ ไปจนถึงการขาดหลักฐานการประเมินด้านสิทธิมนุษยชนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
จับตาเขื่อน-เหมือง ต้นทุนสิ่งแวดล้อมที่ชุมชนต้องจ่าย

เบอร์นาเด็ต วิคตอริโอ หัวหน้าโครงการ แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมเอเชีย เปิดเผยว่า “วิกฤตสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาข้ามพรมแดน” ถือเป็นความจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องมีความรับผิดชอบในระดับสากล สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเอเชีย การลงทุนข้ามพรมแดนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำและอุตสาหกรรมสกัดทรัพยากรธรรมชาติ มักนำมาซึ่งต้นทุนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงและฝังลึก ซึ่งส่งผลกระทบกับชุมชนโดยตรง การเปลี่ยนผ่านพลังงานเหล่านี้คือผลกระทบที่ผู้คนในชุมชนต้องจ่ายในราคาที่สูงลิ่ว เช่น การสูญเสียวิถีชีวิต บ้านเรือน และมรดกทางวัฒนธรรม โดยแทบไม่มีแนวทางการเยียวยาที่ชัดเจน
สถาบันการเงินในฐานะผู้ขับเคลื่อนและผู้สนับสนุนโครงการเหล่านี้มีทั้งความรับผิดชอบและอำนาจต่อรองที่จะทำให้แน่ใจว่าบริษัทที่พวกเขาสนับสนุนด้านการเงินมีแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักการความยั่งยืนที่ยึดโยงกับความเป็นธรรมและการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน
“วันนี้เราขอเรียกร้องให้สถาบันการเงินบูรณาการนโยบายด้านการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมไว้ในกลยุทธ์การปล่อยกู้และการจัดหาเงินทุน และเปลี่ยนทิศทางการลงทุนไปสู่โครงการที่ยั่งยืน แท้จริง ครอบคลุม และเป็นธรรม เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เบอร์นาเด็ต กล่าว

ปิยะนันท์ จิตแจ้ง ตัวแทนกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า การต่อสู้กับผลกระทบจากการพัฒนาเขื่อนในแม่น้ำโขงดำเนินมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่มีการสร้างเขื่อนตอนบนในจีนที่ทำให้กระแสน้ำผิดปกติ เกิดภาวะแห้งแล้งนอกฤดูกาลและน้ำท่วมเกินกว่าปกติ ก่อนจะตามมาด้วยการสร้างเขื่อนไซยะบุรีในลาวที่ส่งผลกระทบต่อชายแดนไทย-ลาว แต่ไทยไม่สามารถดำเนินการทางกฎหมายได้เต็มที่เพราะอยู่นอกเขตอธิปไตย
ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา เครือข่ายชุมชนได้ติดตามโครงการก่อสร้างเขื่อนปากแบง ห่างจากเชียงรายเพียง 97 กิโลเมตร ซึ่งถูกตั้งข้อกังวลเรื่องผลกระทบข้ามแดน 3 ประเด็นสำคัญ
ประเด็นแรก คือปัญหาน้ำท่วมถาวร จากการกักเก็บน้ำ ซึ่งอาจทำให้พื้นที่การเกษตรและชุมชนในฝั่งไทยถูกน้ำท่วมย้อนกลับ โดยเฉพาะพื้นที่แม่น้ำสาขาที่เชื่อมกับแม่น้ำโขง แม้จะมีการร้องขอให้เปิดเผยข้อมูลว่าพื้นที่ใดบ้างจะได้รับผลกระทบ แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการประเมินที่แน่ชัด
ประเด็นที่ 2 คือการล่มสลายของระบบนิเวศ เนื่องจากระดับน้ำที่ขึ้นลงผิดฤดูกาลเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ทำให้ฤดูน้ำหลากมีน้ำต่ำเกินไปจนปลาวางไข่ไม่ได้ และในฤดูแล้งน้ำกลับสูงเกินไป กระทบต่อพืชพันธุ์ สาหร่าย และวิถีชีวิตเกษตรริมฝั่งโขงที่ต้องปรับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ประเด็นที่ 3 คือการบริหารจัดการน้ำที่ไม่ชัดเจน เครือข่ายชุมชนเคยยื่นข้อเรียกร้องให้มีการประสานงานระหว่างเขื่อนจีนตอนบนและเขื่อนใหม่ในลาว แต่ยังไม่มีคำตอบ หากเกิดการกักและปล่อยน้ำพร้อมกันย่อมสร้างความเสี่ยงมหาศาล โดยเฉพาะอุทกภัยเช่นที่เชียงรายเคยประสบในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีพื้นที่การเกษตรถูกน้ำท่วมและแช่ขังนับหมื่นไร่นานหลายเดือน
เขื่อนเร่งให้เกิดวิกฤตสารพิษ กระทบสิทธิชุมชน
อีกหนึ่งภัยคุกคามที่น่ากังวลคือสารพิษสะสม ทั้งสารหนู ปรอท และแคดเมียมจากเหมืองผิดกฎหมาย หากน้ำในลุ่มน้ำโขงไหลช้าลงเพราะเขื่อน อาจทำให้สารเหล่านี้เข้มข้นขึ้น จนเชียงรายเสี่ยงกลายเป็น “อ่างพิษ” โดยที่ยังไม่มีมาตรการแก้ไขต้นเหตุอย่างจริงจัง
“ขณะนี้ชาวบ้านสับสนว่าควรหันไปพึ่งใคร ทั้งหน่วยงานรัฐ ศาลปกครอง หรือกลไกตรวจสอบทางการเงิน เช่น Fair Finance ซึ่งจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการเปิดเผยข้อมูลและสร้างความเข้าใจกับชุมชน เพื่อปกป้องสิทธิของประชาชนในลุ่มน้ำโขง ขณะเดียวกันพื้นที่อีสานและเชียงแสนก็ยังเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของสารพิษในน้ำโขง โดยทั้งหมดเชื่อมโยงไปถึงห่วงโซ่อุปทานระดับโลก เนื่องจากความต้องการแร่และแรร์เอิร์ธยังเป็นแรงผลักสำคัญของภูมิรัฐศาสตร์โลกในปัจจุบัน” ปิยะนันท์ กล่าว
เผยช่องโหว่กฎหมายไทย เมื่อมาตรฐานสากลไม่เพียงพอ

สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าทีมวิจัยแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand) กล่าวถึงช่องว่างระหว่างเอกสารของบริษัทผู้พัฒนาโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว กับหลักการ Equator Principles ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ธนาคารพาณิชย์ทั่วโลก รวมถึงธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ลงนามรับรอง โดยชี้ว่าโครงการเขื่อนหลวงพระบางและเขื่อนปากแบงมีข้อบกพร่องอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การขาดการประเมินผลกระทบเชิงสะสม การไม่ชี้แจงความเสี่ยงจากสารพิษที่อาจมาจากเหมืองแร่หายากในเมียนมา รวมถึงความไม่ชัดเจนในการนำข้อเสนอแนะจากรายงานการทบทวนทางเทคนิคของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ไปปฏิบัติจริง
ทั้งนี้ โครงการทั้งสองยังไม่แสดงหลักฐานการประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งที่เป็นข้อกำหนดสำคัญของ Equator Principles นอกจากนี้ หากพิจารณาย้อนกลับไปยังกรณีเขื่อนไซยะบุรีจนถึงเขื่อนปากแบง จะเห็นตัวอย่างชัดเจนว่ากลไกการคุ้มครองทั้งทางกฎหมายและมาตรฐานสากลที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอในการป้องกันความเสี่ยงต่อประชาชน
หนึ่งในปัญหาหลัก คือกฎหมายไทยยังไม่รองรับการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ศาลปกครองสูงสุดเคยมีคำวินิจฉัยในปี 2564 ว่าข้อตกลงแม่น้ำโขง (PNPCA) เป็นพันธกรณีระหว่างประเทศ จึงไม่สามารถนำมาใช้บังคับตามกฎหมายไทยได้ ทำให้การผลักดันให้มีการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนเป็นเพียงข้อเรียกร้องจากภาคประชาสังคม เช่น ในกรณีเขื่อนหลวงพระบางที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กดดันให้ผู้ดำเนินโครงการจัดทำรายงาน แต่ไม่มีมาตรฐานหรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน จึงไม่สามารถสะท้อนผลกระทบที่แท้จริงได้ โดยเฉพาะผลกระทบสะสมจากเขื่อนจีนตอนบน
ผลักดันกฎหมายสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน
สฤณี กล่าวว่า ในอนาคตประเทศไทยควรมีกฎหมายกำกับให้บริษัทไทยที่ลงทุนโครงการข้ามพรมแดนต้องจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง รวมถึงต้องมีกฎหมายบังคับการประเมินผลกระทบสิทธิมนุษยชนรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่ลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มโลก โดยเฉพาะสหภาพยุโรปที่เตรียมออกกฎหมายบังคับด้านนี้
“แม้ Equator Principles จะเป็นมาตรฐานที่มีประโยชน์ เพราะบังคับให้โครงการขนาดใหญ่ต้องมีการประเมินผลกระทบและเปิดเผยข้อมูล แต่ก็ยังเป็นเพียงมาตรการสมัครใจ ไม่เพียงพอในการจัดการกับความเสี่ยงที่ชุมชนกังวล ดังนั้น ภาคประชาสังคมจำเป็นต้องเรียกร้องต่อไป เพื่อให้เกิดการยกระดับมาตรการเหล่านี้ให้เป็นข้อบังคับตามกฎหมายไทยในอนาคต” สฤณี กล่าว