News

LCB1 Group เดินหน้าท่าเรือคาร์บอนต่ำ ปักธง Net Zero 2050 เปลี่ยนอุปกรณ์เป็นไฟฟ้า 100% ใน 3 ปี

กลุ่มบริษัทLCB1 Group (แอลซีบีวัน กรุ๊ป) หนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการท่าเทียบเรือและโลจิสติกส์ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ประตูการค้าทางทะเลน้ำลึกหลักของประเทศไทย เดินหน้าสู่การเป็น “ศูนย์กลางโลจิสติกส์สีเขียว” ที่ผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ากับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุล เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีแห่งความสำเร็จ LCB1 Group ซึ่งไม่เพียงสะท้อนเส้นทางแห่งความเชื่อมั่นและความร่วมมือเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงบนพื้นฐานของความยั่งยืน

ตลอดระยะเวลา 3 ทศวรรษที่ผ่านมา กลุ่ม LCB1 ซึ่งประกอบด้วย บริษัท แอลซีบี คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล1 จำกัด และ บริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด ได้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม ผู้ส่งออก และสายการเดินเรือระดับโลกให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้มาตรฐานการบริหารจัดการที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับ การท่าเรือแห่งประเทศไทย(PAT) รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ อาทิ กรมศุลกากร และ กรมเจ้าท่า เพื่อให้กระบวนการโลจิสติกส์ดำเนินไปได้อย่างไร้รอยต่อ

คอร์ สแปงจ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท LCB1 กล่าวว่า ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เราภาคภูมิใจไม่ใช่เพียงความสำเร็จอย่างยั่งยืนของธุรกิจ แต่คือความเชื่อมั่นและความร่วมมือที่เกิดขึ้นจาก ทุกภาคส่วน เราดำเนินงานด้วยความ โปร่งใส เคารพซึ่งกันและกัน และยึดมั่น ในความไว้วางใจซึ่งเป็น หัวใจสำคัญขององค์กร เราโชคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นระดับโลกอย่าง PSA และ APM Terminals ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพของท่าเทียบเรือเราให้มีมาตรฐานสากลระดับโลก ขณะเดียวกัน ด้วยการนำของ Bangkok Modern Terminal Ltd. เรายังคงรักษารากเหง้าความเป็นองค์กรของคนไทยไว้ได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันเรามีพนักงานชาวไทยกว่า 98% หลายคนร่วมงานกับเรามานานกว่า 20 ปี ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมั่นคงและความผูกพันของบุคลากรต่อองค์กร

“ปีนี้ถือเป็นอีกก้าวแห่งความสำเร็จของท่าเรือแหลมฉบังและกลุ่มบริษัท LCB1 Group โดยภาพรวมของท่าเรือแหลมฉบังคาดว่าจะสามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าสูงถึง 10 ล้าน TEU ขณะที่ LCB1 Group ก็สร้างสถิติใหม่ โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมียอดตู้สินค้าถึง 1.9 ล้าน TEU ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของภาคโลจิสติกส์และการส่งออกของไทย แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและตลาดโลกในปีหน้า แต่บริษัทฯ ก็ยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถเดินหน้าสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง” คอร์ สแปงจ์ กล่าว

 LCB1 Group ให้ความสำคัญกับ ความร่วมมือและ Partnership ซึ่งทำให้บริษัทฯ เป็นท่าเรือแรกที่ เข้าร่วมทดสอบระบบบริหารจัดการรถร่วมกับการท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารคิวรถขนส่งและลดความแออัด นอกจากนี้ ยังทำงานร่วมกับลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมและบริษัทขนส่ง เพื่อจัดการระบบขนส่งให้สอดคล้องกับเวลาที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ

“ท่าเรือแหลมฉบังจึงได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็น “ประตูทางออกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ปัจจุบันอยู่ในลำดับ Top 20 ของโลก และหากไม่นับรวมท่าเรือจากจีน แหลมฉบังอาจติด Top 10 ท่าเรือสำคัญของโลก ซึ่งตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และการค้าระดับภูมิภาค”  คอร์ สแปงจ์ กล่าว

ด้านลี ชุน เส็ง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ กล่าวว่า แม้ธุรกิจท่าเรือและการขนส่งจะล้าหลังด้านการใช้เทคโนโลยีเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น แต่ LCB1 Group ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการนำAI (Artificial Intelligence) มาประยุกต์ใช้ เพื่อ เสริมศักยภาพบุคลากร ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่เพื่อแทนที่มนุษย์ โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีให้ “ถูกหลัก ถูกทาง และถูกเป้าหมาย”

นอกจากนี้ ยังมีอุปสรรคด้านการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา แต่บริษัทฯ มองเห็นโอกาสใหม่ในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะ เอเชียใต้ ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง LCB1 Group จึงมุ่งพัฒนาเครือข่ายและความร่วมมือในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง

ในปีหน้า บริษัทฯ เตรียม เพิ่มการลงทุนในด้านบุคลากรและเทคโนโลยีการยกขนสินค้าแบบไฟฟ้า(Electric Equipment) เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอนสู่อากาศ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่เป้าหมาย “Net Zero 2050” LCB1 Group ยังทำงานร่วมกับผู้รับเหมา ลูกค้า และผู้ถือหุ้น เพื่อผลักดันให้ทุกภาคส่วนลดการปล่อยคาร์บอน พร้อมทั้งร่วมมือกับพันธมิตรในการจัดหาพลังงานสะอาด

“บริษัทฯ ถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่นำเทคโนโลยีสะอาดเข้ามาใช้ในภาคโลจิสติกส์ โดยตั้งเป้าว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้า อุปกรณ์ทั้งหมดของบริษัทจะเปลี่ยนเป็นระบบไฟฟ้า100% ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะ การท่าเรือแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้า เพื่อจัดหาพลังงานไฟฟ้าที่มาจากแหล่งสะอาด”

LCB1 Group มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายของการท่าเรือแห่งประเทศไทยและรัฐบาลไทยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว โดยกลุ่มบริษัทเป็นท่าเรือแห่งแรกในแหลมฉบังที่นำเทคโนโลยีเครนยางล้อยางระบบไฟฟ้า(Electric RTG) มาใช้แทนอุปกรณ์ที่พึ่งพาพลังงานฟอสซิล พร้อมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีไฮบริด LTG เพื่อยกระดับประสิทธิภาพด้านพลังงาน ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 70% ต่อเครื่อง 

“บริษัทฯ ยังตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนลงให้ได้50% ภายในปี 2030 และก้าวสู่เป้าหมายNet Zero ภายในปี2050 ด้วยความร่วมมือและการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นระดับโลก ควบคู่ไปกับการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม(CSR) อย่างต่อเนื่อง ทั้งการบริจาคสิ่งของร่วมกับการท่าเรือฯ การสนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่ และการสร้างโอกาสการจ้างงานให้กับคนในชุมชนโดยรอบ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”ลี ชุน เส็งกล่าวทิ้งท้าย