News

อุปนายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างฯ ชี้น้ำท่วมหาดใหญ่ สะท้อนจุดอ่อนระบบรับมือวิกฤต มากกว่าแค่ความรุนแรงของอุทกภัย

น้ำที่พุ่งสูงจนแตะชั้นสองในหลายพื้นที่ของหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของไทยทางภาคใต้ ไม่ได้พัดพาเพียงทรัพย์สินนับหมื่นหลังให้สูญหาย แต่ยังเผยให้เห็นความเปราะบางของเมืองต่อภัยพิบัติครั้งใหญ่ ถนนที่เคยคึกคักกลายเป็นแนวขยะยาวเหยียด บ้านเรือนที่เคยอบอุ่นเหลือเพียงผนังชื้นและเฟอร์นิเจอร์พังทลาย ขณะเดียวกันระบบช่วยเหลือที่ควรเคลื่อนตัวทันทีกลับติดขัดด้วยขั้นตอนและการประสานงานที่ไม่ทันต่อวิกฤต

ดร.ชูเลิศ จิตเจือจุน อุปนายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย เปิดเผยในรายการ “เจาะข่าวเช้านี้” ทางสถานีวิทยุจุฬาฯ ว่า ภาพรวมสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในอำเภอหาดใหญ่ ได้สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนและสาธารณูปโภคในวงกว้าง ซึ่งเมื่อนำมาเทียบกับกรณีน้ำท่วมเชียงรายเมื่อปีที่ผ่านมา แม้ทั้งสองเหตุการณ์จะมีลักษณะคล้ายกันในบางประเด็น แต่ความแตกต่างสำคัญอยู่ที่ “ระดับน้ำ” และ “ชนิดของผลกระทบ” ที่เกิดขึ้นกับชุมชนแต่ละพื้นที่

น้ำท่วมลึกสุดในรอบหลายปี

เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้เริ่มหนักขึ้นเมื่อระดับน้ำในตัวเมืองหาดใหญ่เพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว จนหลายจุดมีรายงานว่าน้ำสูงกว่า 4 เมตร และบางพื้นที่อาจแตะระดับ 6 เมตร ส่งผลให้น้ำเข้าท่วมถึงชั้นสองของบ้านเรือนจำนวนมาก แม้ระยะเวลาท่วมขังจะไม่ยาวนานเท่าเชียงราย แต่ความรุนแรงจาก “ความสูงของน้ำ” ทำให้ทรัพย์สินภายในบ้านเสียหายแทบทั้งหมด

ดร.ชูเลิศ อธิบายว่า ความเสียหายเชิง “โครงสร้างหลัก” ของอาคารในหาดใหญ่มีไม่มาก มีเพียงไม่กี่หลังที่ได้รับผลกระทบจนถึงระดับโครงสร้าง แต่ความเสียหายเชิง “สถาปัตยกรรมและของใช้ในบ้าน” มีจำนวนมาก เช่น ฝ้าเพดาน วอลเปเปอร์ พื้น กระเบื้อง รวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ภายในบ้าน โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์บิวต์อินซึ่งมักทำจากวัสดุที่ดูดซับน้ำ ทำให้แทบทั้งหมดต้องรื้อและทิ้ง

“ภาพที่พบได้ทั่วไปในเขตเมืองช่วงหลังน้ำลด คือกองเฟอร์นิเจอร์และของเสียจากภายในบ้านที่ถูกนำมากองไว้ริมถนน หลายชุมชนมีขยะสูงจนบดบังช่องทางจราจรไปหนึ่งเลนเต็ม ๆ ถนนที่เคยใช้ 2–3 เลนจึงแคบลงอย่างมาก ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องเร่งทำงานเก็บขนขยะน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง” ดร.ชูเลิศ กล่าว

รอบนอกเสียหายน้อยกว่า แต่ใจกลางเมืองหนักสุด

แม้ในอำเภอเดียวกัน แต่ระดับความเสียหายในแต่ละพื้นที่ต่างกันอย่างชัดเจน โดยพื้นที่รอบนอกของหาดใหญ่ซึ่งระดับน้ำตื้น ได้รับผลกระทบน้อยกว่า แต่เมื่อเข้าสู่ใจกลางเมืองซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำและมีความหนาแน่นของบ้านเรือนมาก ความเสียหายกลับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ข้อมูลจากกรมโยธาธิการและผังเมืองระบุว่ามีบ้านเรือนถูก น้ำท่วมเสียหายราว 70,000 หลัง ส่งผลต่อประชาชนนับแสนคน ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สร้างผลกระทบมากที่สุดในรอบหลายปี

หน่วยงานรัฐ–อาสาสมัคร รุกลงพื้นที่ช่วยเหลือแบบเร่งด่วน

ดร.ชูเลิศ กล่าวว่า หลังน้ำลด หน่วยงานรัฐหลายฝ่าย ทั้งทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จังหวัดใกล้เคียง และการไฟฟ้า ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือ โดยเฉพาะการกู้ระบบไฟฟ้าในบ้านเรือน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการกลับเข้าพักอาศัย

โดยการไฟฟ้าฝ่ายภูมิภาค ได้ใช้มาตรการติดตั้งมิเตอร์ชั่วคราวเพื่อให้ชาวบ้านมีไฟใช้ทันทีในช่วงแรก ขณะเดียวกันทีมช่างและวิศวกรได้เข้าไปตรวจสอบปลั๊กไฟ อุปกรณ์ไฟฟ้า และระบบภายในบ้านอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันบ้านส่วนใหญ่กลับมาใช้ไฟได้แล้ว แม้ยังมีบางหลังที่ต้องรอการซ่อมแซมเพิ่มเติม

นอกจากนี้ สมาคมวิศวกรโครงสร้างฯ ยังร่วมกับนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในพื้นที่ และกลุ่มวิศวกรอาสา ได้แบ่งทีมเข้าตรวจสอบบ้านทีละหลังโดยเน้นพื้นที่รอบนอกก่อน เนื่องจากในใจกลางเมืองยังมีปัญหาการจราจรติดขัดจากกองขยะ การเข้าไปช่วยเหลือจึงทำได้ยากกว่า ทีมสำรวจจะตรวจสอบผนัง พื้น โครงสร้าง วงกบประตู–หน้าต่าง จุดแตกร้าว และความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย พร้อมถ่ายภาพเข้าสู่ระบบออนไลน์เพื่อส่งต่อให้กรมโยธาธิการและท้องถิ่นใช้ประกอบการพิจารณาชดเชย

ทั้งนี้ วงเงินช่วยเหลือมีเพดานสูงสุดอยู่ที่ 49,500 บาทครอบคลุมเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับการอยู่อาศัย เช่น หลังคา ฝ้า ผนัง ไม่รวมเฟอร์นิเจอร์หรือทรัพย์สินฟุ่มเฟือยอื่น ๆ

ความเสี่ยงใหม่หลังน้ำลด พบเชื้อราและความชื้นสะสม

อีกหนึ่งปัญหาที่พบในแทบทุกบ้านหลังน้ำลดคือ “ความชื้นสะสม” ซึ่งหากไม่จัดการอย่างถูกต้องอาจพัฒนาเป็นเชื้อราในระยะยาว ดร.ชูเลิศแนะนำว่า ผนังที่เพิ่งแห้งไม่ควรรีบทาสีใหม่ ควรทดสอบก่อนด้วยการแปะแผ่นพลาสติกปิดสนิทด้วยสก๊อตเทปแล้วทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง หากพบไอน้ำเกาะด้านใน แสดงว่ายังมีความชื้นอยู่มากและไม่เหมาะสำหรับการซ่อมแซมผิวตกแต่ง เพราะการทาสีในสภาพที่ผนังยังไม่แห้งสนิทจะทำให้เกิดเชื้อราและอาจต้องรื้อแก้ไขใหม่ทั้งหมดในภายหลัง

อย่างไรก็ตาม ความรู้ด้านเทคนิคเหล่านี้ยังไม่สามารถถ่ายทอดไปถึงชาวบ้านได้ครบถ้วน เนื่องจากจำนวนบ้านที่ได้รับผลกระทบมีเป็นหมื่นหลัง ทีมอาสาที่ลงพื้นที่จึงให้คำแนะนำได้เพียงบางส่วน จำเป็นต้องอาศัยหน่วยงานท้องถิ่นช่วยประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้เข้าถึงประชาชนอย่างทั่วถึงมากขึ้น

ชี้การช่วยเหลือยังไม่เป็น “ระบบเดียวกัน”

ดร.ชูเลิศ สะท้อนบทเรียนสำคัญว่า การประสานงานของหน่วยงานรัฐยังไม่สอดคล้องกันเท่าที่ควร บางหน่วยงานต้อง “รอหนังสือร้องขอจากท้องถิ่น” ก่อนจึงเข้าปฏิบัติงาน เช่น หน่วยงานด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ.ทำให้การช่วยเหลือบางส่วนล่าช้ากว่าที่สถานการณ์ต้องการ ทั้งที่กรณีภัยพิบัติควรมีการปฏิบัติแบบอัตโนมัติและเชิงรุกทันทีที่เกิดเหตุ

“สำหรับระยะเวลาในการฟื้นตัว ส่วนของพื้นที่รอบนอกคาดว่าจะสามารถฟื้นฟูและทำความสะอาดได้ภายใน 1–2 สัปดาห์ ขณะที่พื้นที่ใจกลางเมืองซึ่งได้รับผลกระทบหนักสุดอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือนกว่าจะเข้าสู่ภาวะใกล้ปกติ เนื่องจากยังมีงานเก็บขยะ ซ่อมแซมบ้าน และตรวจสอบระบบไฟฟ้าที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง” ดร.ชูเลิศ กล่าวทิ้งท้าย

เหตุการณ์ครั้งนี้จึงไม่เพียงสะท้อนความรุนแรงของอุทกภัย แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงระบบจัดการภัยพิบัติ การกระจายข้อมูลเชิงเทคนิคแก่ประชาชน และการประสานงานที่รวดเร็วขึ้น เพื่อให้การฟื้นฟูเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอนาคต