HBA ชี้ตลาดรับสร้างบ้านปี’68 ยังไปต่อ แม้เผชิญปัจจัยลบรอบด้านเร่งขยายฐานสมาชิก หวังยกระดับมาตรฐานก่อสร้างทั่วประเทศ

นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ประเมินตลาดรับสร้างบ้านปี 2568 ยังเติบโตจากดีมานด์แท้ ด้วยแรงขับเคลื่อนจากผู้บริโภคที่มีความพร้อมทางการเงินและต้องการบ้านที่มีคุณภาพ ด้านสมาคมฯ เดินหน้าเร่งขยายฐานสมาชิก หวังยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างทั่วประเทศ คาดการณ์ปีหน้าเริ่มเห็นสัญญาณฟื้น

ในวันที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ต้องเผชิญแรงบีบจากเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมือง “ตลาดรับสร้างบ้าน” กลับยังคงยืนหยัดในฐานะเซ็กเมนต์ที่มีเรียลดีมานด์สูง เพราะคือบ้านที่ผู้บริโภคสร้างเพื่ออยู่อาศัยจริง ไม่ใช่เพื่อการลงทุนหรือเก็งกำไร

อนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association : HBA) กล่าวว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค แต่ธุรกิจรับสร้างบ้านยังมีแรงขับเคลื่อนจากผู้บริโภคที่มีความพร้อมทางการเงินและต้องการบ้านคุณภาพที่ตรงใจ โดยเฉพาะกลุ่มบ้านระดับ 3-10 ล้านบาท ที่ยังมีการตัดสินใจอย่างต่อเนื่อง   เพราะผู้บริโภคยุคนี้ไม่ได้มองแค่ราคาบ้านที่ถูก แต่ต้องการบ้านที่คุ้มค่า ได้มาตรฐาน มีบริการหลังการขายที่ดี และมั่นใจว่าได้บ้านที่ตรงตามความต้องการ ซึ่งธุรกิจรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ จะตอบโจทย์ทั้งหมดนี้ได้ดีกว่าผู้รับเหมาทั่วไป

ปัจจุบันสมาคมฯ มีสมาชิกเกือบ 80 บริษัททั่วประเทศ และยังคงเดินหน้าสร้างความรู้ความเข้าใจต่อผู้บริโภคในต่างจังหวัดให้เห็นถึงข้อแตกต่างระหว่าง “รับเหมาก่อสร้าง” กับ “ธุรกิจรับสร้างบ้าน” ที่เน้นบริการครบวงจรตั้งแต่แบบบ้านจนถึงบริการหลังการขาย ซึ่งในช่วง 5-6 ปีหลัง สมาคมฯ สามารถขยายฐานสมาชิกในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็นกว่า 35%

“ต่างจังหวัดมีดีมานด์สร้างบ้านจริงจำนวนมาก โดยเฉพาะบ้านระดับ 3-5 ล้านบาท ซึ่งผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า หากเปรียบเทียบระหว่างผู้รับเหมากับธุรกิจรับสร้างบ้านแล้ว ส่วนต่างราคาไม่เกิน 10-15% แต่สิ่งที่ได้คือมาตรฐาน การบริการ ความน่าเชื่อถือ และคุณภาพงานที่ดีกว่า ขณะที่ตลาดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นกลุ่มที่รับรู้ถึงธุรกิจรับสร้างบ้านอยู่แล้ว ปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 20% และการแข่งขันจึงเน้นที่การออกแบบ คุณภาพ และบริการ มากกว่าราคา”   นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าว

อนันต์กร กล่าวต่อว่า แม้ว่าภาพรวมการสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีแรกยังติดลบ 5-6% แต่มีสัญญาณฟื้นตัวในไตรมาส 2 และคาดว่าช่วงไตรมาส 3 ซึ่งเป็นไฮซีซั่นของการตัดสินใจสร้างบ้าน จะช่วยดันยอดปีนี้ให้ทรงตัวได้ หากไม่เผชิญปัจจัยลบเพิ่มเติมโดยปัจจัยที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจสร้างบ้านนอกจากราคาวัสดุและค่าแรงที่ยังทรงตัว คือความพร้อมของผู้ซื้อเอง และความคาดหวังต่อคุณภาพบ้าน ซึ่งแตกต่างกันไปตามเซ็กเมนต์ เช่น บ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาท ผู้บริโภคมองเรื่องความคุ้มค่า บ้านระดับ 5-10 ล้านบาท เน้นคุณภาพการก่อสร้าง ขณะที่บ้านระดับ 20 ล้านบาทขึ้นไป เน้นดีไซน์เฉพาะตัวและสะท้อนรสนิยมเจ้าของบ้าน

“กลุ่มที่ยังชะลอการตัดสินใจส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบ้านระดับ 20 ล้านบาทขึ้นไป แม้ว่าจะมีเงินแต่ยังไม่อยากใช้จ่าย เนื่องจากไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจการเมือง แต่กลุ่มที่ต่ำกว่านั้นยังเดินหน้าต่อได้ โดยเฉพาะกลุ่ม 3-5 ล้านบาท ซึ่งยังมีการกู้สินเชื่อ และสินเชื่อของกลุ่มนี้ยังคุณภาพดี NPL ต่ำ ธนาคารยังสนับสนุน” อนันต์กร กล่าว

นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังเร่งพัฒนาสมาชิกให้มีมาตรฐานงานก่อสร้างเดียวกันทั่วประเทศ ด้วยการจัดอบรม ถ่ายทอดกระบวนการบริหารงานตั้งแต่ตอกเข็มจนถึงส่งมอบบ้าน พร้อมขยายการสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น TikTok, Facebook และ YouTube ให้เข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น

อีกหนึ่งจุดขายของสมาคมคือ ร่วมมือกับสถาบันการเงินให้สิทธิพิเศษกับสมาชิกสมาคม เช่น การกู้สินเชื่อด้วยราคาที่ประเมินตรงตามจริง ไม่ต้องยื่นแบบก่อสร้างก่อนการยื่นกู้ และปล่อยเงินตามงวดของบริษัทรับสร้างบ้าน ไม่ใช่ตามขั้นของธนาคาร

อนันต์กร กล่าวถึงงานอีเวนต์ประจำปีของสมาคมฯ  เพื่อกระตุ้นตลาดในช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 3 โดยปีนี้จะจัดขึ้นในเดือนกันยายนที่อิมแพค เมืองทองธานี มีบริษัทรับสร้างบ้านร่วมออกบูทกว่า 40 บริษัท และวัสดุก่อสร้างอีกกว่า 20 ราย รวมถึงธนาคารที่จะให้คำปรึกษาและเสนอโปรโมชั่นสินเชื่อแบบครบวงจร  ซึ่งเชื่อว่ากิจกรรมแบบนี้จะสร้างความคึกคักให้กับตลาดได้

แม้ปีนี้จะยังเป็นปีที่ท้าทายจากปัจจัยลบรอบด้าน แต่ธุรกิจรับสร้างบ้านจะสามารถผ่านไปได้ และเชื่อว่าหลังพ้นปี 2568 จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของตลาดอย่างชัดเจน หากเศรษฐกิจและการเมืองกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง

“ปีนี้ถ้าเราผ่านจุดต่ำสุดมาได้ ปีหน้าเราคาดว่าจะมีการเริ่มฟื้นตัว เพราะดีมานด์มีอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคให้กลับมา ซึ่งสมาคมฯ จะทำอย่างเต็มที่ ทั้งด้านคุณภาพ มาตรฐาน และบริการ” อนันต์กร  กล่าวทิ้งท้าย