Friday, April 26, 2024
Latest:
Construction

SCG กางแผนธุรกิจปี’64 ชูนวัตกรรม เซอร์วิสโซลูชัน – เทคโนโลยีดิจิทัลขับเคลื่อนธุรกิจ รับ COVID-19

บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)  หรือ SCG  ผู้นำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง เปิดแผนธุรกิจปีพ.ศ.2564  รับความท้าทายของสถานการณ์ COVID-19 และสภาพเศรษฐกิจที่ยังคาดเดาได้ค่อนข้างยาก ประกาศเดินหน้าปรับธุรกิจสู่ New Normal Digitalization ดึงเทคโนโลยีดิจิทัลมาขับเคลื่อน และเสริมแกร่งธุรกิจตลอดซัพพลายเชน ด้วยแนวคิด Transformation with Innovation  ผ่านแผนธุรกิจเชิงรุก 3 ด้าน ได้แก่ Innovation & Service Solutions, Digital Transformation และ Sustainable Development เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมสินค้า บริการ พร้อมโซลูชันที่ครบวงจร   รวมทั้งร้านค้าเชื่อมต่อระบบออนไลน์รูปแบบ SCG HOME Active Omni-Channel เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าที่เปลี่ยนไป สร้างการเติบโตให้ธุรกิจไปพร้อมกับสังคม สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตลอดจนพัฒนาบุคลากรให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสินค้าที่ได้รับฉลาก SCG Green Choice ภายในปีนี้อีก  30%   ชี้หากวัคซีนได้ผลตอบรับที่ดี  คาดยอดขายของธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในปีนี้ใกล้เคียงกับปี พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา

นิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า จากสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจการซื้อของของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง จากเดิมที่นิยมเดินเลือกซื้อของในโชว์รูม ตัวแทนจำหน่ายของทางบริษัทฯ หันมาเลือกซื้อสินค้าผ่านทางช่องทางแพลทฟอร์มดิจิทัลของทางบริษัทฯและเลือกซื้อสินค้าที่มีนวัตกรรม โซลูชันด้านความปลอดภัย ป้องกันเชื้อ COVID-19 และมีพื้นที่ใช้สอยที่ประหยัดพลังงานรองรับการทำงานที่บ้าน (Work From Home) มากขึ้น

เพื่อให้การดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ.2564 สอดรับผู้บริโภค ทางบริษัทฯ จึงได้วางแนวทางในการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “Transformation with Innovation”  โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมารุกตลาดใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า และเสริมแกร่งธุรกิจในทุกส่วน ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ด้วยแผนเชิงรุก 3 ด้าน ได้แก่ 1.Innovation & Service Solutions ต่อยอดพัฒนานวัตกรรมสินค้าและโซลูชันที่ตอบโจทย์สุขอนามัย และสุขภาพที่ดีสำหรับผู้บริโภค (Health & Hygiene) โดยเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ เช่น Smart Building Solutions นวัตกรรมบริหารระบบอาคาร ด้วยเทคโนโลยี IoT (Internet of Things)  สินค้ากลุ่มสุขภัณฑ์ COTTO Touchless Series และกระเบื้อง COTTO Hygienic Tile ตลอดจนต่อยอดขยายเซอร์วิสโซลูชันใหม่ เปิดตัว BAUEN by SCG  (เบาเอ้น บาย เอสซีจี) บริการรีโนเวทครบ จบทุกความต้องการอย่างเป็นทางการ และตอกย้ำจุดแข็งของเซอร์วิส โซลูชัน ทั้ง Construction Solutions และ Living Solutions ที่มอบบริการครบวงจรแบบ End to End Service 2.Digtal Transformation การนำเทคโนโลยีเข้ามาผสานกับทุกส่วนของธุรกิจ ทั้งในเรื่อง ดิจิทัลสำหรับผู้บริโภค ปรับรูปแบบร้านค้าไปสู่อีคอมเมิร์ซมากขึ้น ต่อยอดการเชื่อมต่อร้านค้าแบบออฟไลน์ และออนไลน์ด้วยเทคโนโลยีในรูปแบบ SCG HOME Active Omni- Channel รวมถึงนำเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง Big Data Analytics และปัญญาประดิษฐ์  (AI) มาวิเคราะห์เชิงลึกผู้บริโภค และนำข้อมูลไปพัฒนาสินค้า และบริการในอนาคต ตลอดจนสร้าง Ecosystem ให้แข็งแกร่งขึ้น โดยเชื่อมโยงผู้รับเหมา ช่าง และพาร์ทเนอร์ด้วยเทคโนโลยี เพื่อมอบบริการที่ดีให้กับเจ้าของบ้านไปพร้อมกัน ด้านดิจิทัลสำหรับการผลิตสานต่อการใช้ Industry 4.0 พร้อมนำระบบการดำเนินงานอัจฉริยะ (Smart Digital Operation) และระบบ Automation มาใช้ในกระบวนการผลิต และ 3.Sustainable Development สร้างสมดุลด้านสังคม และสิ่งแวดล้อมที่ดีไปพร้อม ๆ กับการเติบโตทางธุรกิจ ทั้งเรื่อง Green Product & Service พัฒนาสินค้าและบริการ SCG Green Choice โดยปี พ.ศ.2564 นี้จะเพิ่มจำนวนสินค้า SCG Green Choice มากขึ้นประมาณ 30% ซึ่งแต่ละปีจะมีการสินค้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้ปัจจุบัน สินค้าจะมีไม่กี่ SKU, Green Plant เพิ่มการใช้พลังงานทดแทนภายในโรงงานให้มากขึ้น เช่น ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ใช้รถยกไฟฟ้า (EV Forklift) เป็นต้น

ด้านการช่วยเหลือสังคม เดินหน้ามอบสิ่งดีๆ คืนสังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเร็วๆ นี้ได้ร่วมกับร้านผู้แทนจำหน่ายส่งมอบนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์แก่สังคม เช่น ห้อง Positive Pressure Room ด้วยระบบผนัง Smart Board Ultra Clean Solution นวัตกรรม CPAC BIM Medical Solution และ Bathroom Mobile Unit ซึ่งจะสานต่ออย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญจะเร่งพัฒนาบุคลากรของทางบริษัทฯให้สอดรับเรียนรู้นวัตกรรมและดิจิทัลเทคโนโลยีที่ทางบริษัทฯจะนำมาใช้บริการผู้บริโภคในทุก ๆตลาดการค้าทั้งกลุ่ม B2B, B2C และ B2B2C  เป็นต้น

นิธิ กล่าวว่าสำหรับปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในปีพ.ศ.2564 นั้นยังคงเป็นเรื่องสถานการณ์ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ต่อเนื่องตั้งแต่ปีพ.ศ.2563 เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ยังคงคาดเดายาก แม้จะมีวัคซีนนำเข้ามาแล้ว แต่ประสิทธิภาพนั้นยังต้องประเมินอย่างต่อเนื่องว่าวัคซีนที่นำเข้ามาใช้เหมาะสมกับคนไทยทั้งประเทศอย่างไร ประกอบกับสภาพคล่องของกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มลูกค้าเกษตรกรในต่างจังหวัด มีเงินในการจับจ่ายสินค้าจากทางบริษัทฯไปใช้ในการรีโนเวทบ้านและสร้างบ้านใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตรงนี้ต้องอาศัยนโยบายภาครัฐที่จะเข้ามาช่วยเหลือเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตรและสร้างความเชื่อมั่นเรื่องวัคซีน รวมทั้งกระจายฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมทุก ๆพื้นที่ของประเทศไทยโดยเร็ว ทั้งนี้ คาดว่าหากวัคซีนที่นำเข้ามาฉีดได้ผล สามารถที่จะป้องกัน COVID-19 ได้ จะช่วยให้การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคกลับมาได้ในช่วง 1-2 ปีจากนี้ ซึ่ งทางบริษัทฯ จำเป็นต้องปรับตัวมองหาตลาดใหม่ๆ สร้างรูปแบบการบริการหลังการขายทั้งแบบออนไลน์ ที่ให้ผู้บริโภคสามารถเข้ามาจองคิวการให้บริการผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทฯและแบบออฟไลน์ที่ใช้แบบการโทรศัพท์มานัดวันเวลาในการให้บริการจากทางบริษัทฯรองรับทุก ๆกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศเพื่อกระตุ้นยอดขายและสร้างความแตกต่างในสินค้าและบริการแก่ผู้บริโภคใหม่ รวมทั้งมองหาพันธมิตรทางการค้าในการทำธุรกิจด้านดิจิทัลทั้งจากสถาบันการศึกษา  สตาร์ทอัพและอื่นๆมาร่วมทำงานตลอดจนขยายความร่วมมือกับพันธมิตรในรูปแบบ Open Innovation เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

“ในปีพ.ศ.2564 บริษัทฯ จะประเมินจากทุก ๆความเสี่ยงที่มีแล้วคาดว่ายอดขายของธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างน่าจะเติบโตได้เมื่อผ่านการฉีดวัคซีน COVID-19 ในประเทศไปสักระยะหนึ่ง หากวัคซีนได้ผลตอบรับที่ดีเชื่อว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3 ยอดกำลังสั่งซื้อของผู้บริโภคจะค่อยๆกลับมาแต่ก็ยังไม่มากเท่าช่วงก่อนที่เกิด COVID-19 โดยคาดว่ายอดขายของธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในปีนี้ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 171,720 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับยอดขายปีพ.ศ.2563 ที่ผ่านมา” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวทิ้งท้าย