Sunday, April 28, 2024
Latest:
Property

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เผยยอดขาย 2 เดือนแรกของปี’64 แตะ 1,500 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายทั้งปี 7,000 ล้านบาท

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมากว่า 30 ปี เผยยอดขายในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาของปีพ.ศ. 2564 อยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาท จากโครงการขายต่อเนื่องจากปีพ.ศ.2563 พร้อมตั้งเป้ายอดขายทั้งปีพ.ศ.2564 ประมาณ 7,000 ล้านบาทและมุ่งสู่การเป็น National Housing Company รวมทั้งเป็นผู้นำของตลาดแนวราบเป็นแบรนด์ใน 3 อันดับแรก ที่ผู้บริโภคจะต้องนึกถึงเมื่อมองหาที่อยู่อาศัยในช่วงราคา 2 – 8 ล้านบาท ในอีก 3-5 ปีนับจากนี้

ไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมากว่า 30 ปี กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์ COVID-19 จะส่งผลลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศไทยในทุกๆอุตสาหกรรม รวมทั้งการบริโภคภาคประชาชนภายในประเทศที่ชะลอตัว แต่กลับกันกับภาพรวมผลประกอบการของบริษัทฯในปีพ.ศ.2563 ที่สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเติบโตมียอดรับรู้ทั้งปีพ.ศ.2563 ที่ 5,765 ล้านบาท คิดเป็นยอดที่เติบโตขึ้น 24.2%  ในขณะที่มีกำไรสุทธิที่ 1,333.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 49.5% เนื่องจากกลุ่มลูกค้า Real Demand ยังเป็นฐานลูกค้าที่สำคัญหลักที่ให้การตอบรับโครงการของบริษัทฯทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการทำงานเชิงรุกประกอบการมีบุคลากรที่มีความชำนาญในพื้นที่และมีการทำวิจัยเชิงตลาดก่อนที่จะเข้าไปพัฒนาและนำเสนอโครงการในแต่ละพื้นที่ตามความต้องการของผู้บริโภคจริงมากกว่าที่จะพัฒนาโครงการแล้วรอคอยผู้บริโภคมาซื้อ ทำให้การลงทุนของบริษัทฯลดความเสี่ยงการลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งในตลาดบ้านเดี่ยว, บ้านแฝด, ทาวน์เฮาส์และอื่นๆในช่วงสถานการณ์ COVID-19

“เชื่อว่าภายหลังจากการคิดค้นวัคซีน COVID-19 สำเร็จและทำการฉีดวัคซีนตั้งแต่เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งฉีดในประเทศไทยไปเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 ที่ผ่านมาจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกให้กลับมาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง”  ประธานกรรมการบริหาร  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ กล่าว  

จากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกในปีพ.ศ.2563 จะหดตัวประมาณ 3.5% และจะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตต่อเนื่องในปีพ.ศ.2564 ที่ 5.5% ภายหลังจากการฉีดวัคซีนกระจายครอบคลุมทุก ๆประเทศอย่างกว้างขวางและรวดเร็วยับยั้งการแพร่ระบาด โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วขึ้นเฉลี่ยแล้วจะเติบโตในปีพ.ศ.2564 ประมาณ 4.3% สำหรับในประเทศไทย IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2.7% จากที่หดตัว 6.1 %  ในปี พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา

ไชยยันต์ กล่าวว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยของไทยต่างได้รับผลกระทบตามภาวะเศรษฐกิจ  ซึ่งเป็นการหดตัวที่ต่อเนื่องจากที่มีการชะลอตัวมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2562 ที่ผ่านมาเนื่องจากนักลงทุนและผู้บริโภคเริ่มมีความกังวลกับสภาพคล่องทางการเงิน สภาพเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนในการรับมือ COVID-19 ในขณะนั้น สำหรับบริษัทฯ ได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และประเมินความเสี่ยงมาอย่างต่อเนื่องในทุกๆปัจจัยเสี่ยง และเน้นการทำกลยุทธ์ตลาดแนวราบ ซึ่ง ให้ความสำคัญกับลูกค้า Real Demand อย่างชัดเจน จึงได้รับผลกระทบที่น้อยกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ ตลอดจนบริษัทฯ ได้พยายามคัดสรรทำเลที่มีศักยภาพ  ตลอดจนพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนอง Customer Insights อย่างแท้จริงโดยเฉพาะราคาที่กลุ่มผู้บริโภคต้องการในราคาที่ไม่สูงจนเกินไปอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 3 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ ยังคงสามารถบริหารงานผ่านปีที่ยากลำบากนี้ไปได้ในสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยมากนัก  และบริษัทฯยังมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตได้ต่อเนื่อง

ด้านชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯยังคงให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มแนวราบ ที่เป็น Real Demand   โดยมีแผนขยายโครงการใหม่ทั้งในทำเลใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ  ตลอดจนการเปิดโครงการใหม่เพื่อทดแทนโครงการเดิมของบริษัทที่กำลังจะปิดโครงการลง ซึ่งในปีพ.ศ. 2564  บริษัทฯตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 10 – 12 โครงการ  มูลค่าโครงการรวม 6,000 – 7,000 ล้านบาท  ทั้งโครงการบ้านเดี่ยวหรู รูปแบบใหม่ ภายใต้แบรนด์ บ้านลลิล The Prestige ซึ่งเป็นออกแบบในสไตล์ French Colonial  ระดับราคาจะอยู่ในช่วง 5 – 8 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขยายตลาดให้กว้างขึ้น จากที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ภายใต้แบรนด์ Lanceo โดยจะเน้นกลุ่มลูกค้าในช่วง 3 – 6 ล้านบาท ซึ่งรวมเป้ายอดขายในปีพ.ศ.2564 ประมาณ 7,000 ล้านบาท  ยอดรับรู้รายได้ที่ 6,000 ล้านบาท ในส่วนของงบจัดซื้อที่ดินในทำเลต่างๆนั้น บริษัทฯ ได้จัดสรรงบซื้อที่ดินไว้ประมาณ 1,000 – 1,200 ล้านบาท

“การดำเนินธุรกิจในปีพ.ศ.2564 ผ่านมา 2 เดือน  บริษัทฯ มียอดรับรู้รายได้เข้ามาแล้วประมาณ 1,500 ล้านบาท เป็นยอดโครงการเดิมต่อเนื่องจากปี พ.ศ.2563 แม้ว่าในปี พ.ศ.2564 จะเป็นที่ยากอีกปีหลังจากวิกฤตต้มยำกุ้งในปี พ.ศ.2540 ที่ผ่านมาแต่เชื่อมั่นว่าด้วยการวางแผนการดำเนินธุรกิจที่มีโครงสร้างการเงิน มีที่ดินในการพัฒนาราคาที่ถูกกว่าผู้ประกอบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆการที่จะก้าวขึ้นสู่ 1 ใน 3 ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคเลือกซื้อโครงการต่างๆในตลาดแนวราบในช่วงราคา 2 – 8 ล้านบาท ในอีก 3-5 ปีตามแผนการดำเนินธุรกิจที่วางไว้” กรรมการผู้จัดการ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ กล่าว

ในปีพ.ศ.2564 บริษัทฯจะต่อยอดการดำเนินธุรกิจในปีพ.ศ.2564 นี้ด้วยการใช้กลยุทธ์ Lifestyle Marketing  มุ่งเน้นการใช้สื่อ Digital Marketing เพิ่มมากขึ้น จากที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปีพ.ศ.2563ที่ผ่านมา  โดยบริษัทฯมีการยกระดับการจัดการข้อมูลสารสนเทศสู่ Digital Company อย่างเต็มรูปแบบ  มีการนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์หา Customer Insights เพื่อเข้าถึง และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งการต่อยอดมาตรฐาน Lalin’s Quality of Living  มีการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ  ที่เหมาะสมในการใช้ชีวิตในทุกๆช่วงอายุ เช่น ผู้บริโภคที่ต้องการความ Smart &Security ทั้งในส่วนของจุดเชื่อมต่อการทำงานที่มี Wi-Fi รองรับในทุกๆพื้นที่ของบ้าน, Security System มีกล้องวงจรปิด CCTV และเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง, Ecosystem นำโซลาร์เซลล์และเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED ติดตั้งภายในโครงการแก่ลูกบ้านเพื่อช่วยประหยัดพลังงานทั้งภายในบ้านและพื้นที่สาธารณะในหมู่บ้านแต่ละโครงการ, Eco Technology คัดเลือกสุขภัณพ์ที่ประหยัดน้ำมาติดตั้ง, Cooling System ติดตั้งหลังคากันความร้อน รวมทั้งใช้สีทาบ้านที่มีฉนวนกันความร้อนทาทุกๆหลังของทุกๆโครงการเพื่อช่วยให้ชีวิต สุขภาพอนามัยของลูกบ้านมีความสะดวกสบาย ปลอดภัยไร้กังวลในการซื้อบ้าน ที่อยู่อาศัยต่างๆภายใต้โครงการต่างๆของบริษัทฯอย่างต่อเนื่อง

สำหรับงบประมาณในการทำตลาดในปีพ.ศ.2564 นี้วางไว้ที่ประมาณ 3-4%ของรายได้สุทธิของบริษัทฯ  คิดเป็นมูลค่า  210-280 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสร้างการรับรู้ เผยแพร่โครงการต่าง ๆถึงกลุ่มผู้บริโภคลูกค้าของบริษัทฯ เพื่อจะได้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด