Tuesday, April 23, 2024
Latest:
Property

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เผยผลประกอบการปี’65 กำไรสุทธิ 1,271.46 ล้านบาท พร้อมจ่ายปันผล รวม 0.64 บาท/หุ้น

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ประกาศผลประกอบการปี 2565 มียอดรับรู้รายได้ที่ 6,239.13 ล้านบาท ปรับลดลงจากปีก่อนหน้าที่ 5.3% ทั้งนี้บริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี แม้ในปี 2565 จะเป็นปีที่อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นทั่วโลก กระทบต่อต้นทุนของภาคธุรกิจอย่างกว้างขวาง โดยบริษัทยังคงความสามารถในการทำกำไร โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับที่สูงกว่า 39% ในขณะที่ยังคงบริหารจัดการค่าใช้จ่ายทั้ง ค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ตลอดจนค่าใช้จ่ายทางด้านการเงิน ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ส่งผลให้ในปี 2565 นี้ บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 1,271.5 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 20.4% โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น พิจารณาจ่ายปันผลทั้งปีที่ 0.64 บาท/หุ้น

ชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แนวคิด “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2565 ว่าเป็นปีที่มีปัจจัยลบมากมายเกิดขึ้น โลกต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ การแย่งชิงความเป็นผู้นำโลกของประเทศมหาอำนาจ สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ระดับราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์เร่งตัวขึ้น ความเสี่ยงด้าน Supply Chain Disruption อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นทั่วโลก จนเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบหลายสิบปี ทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด FED มีการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รวดเร็วและแรงจนอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปอยู่ในระดับสูงสุดในรอบกว่า 14 ปี รวมถึงธนาคารกลางหลายประเทศที่ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยตาม จนอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทบต่อไปยังต้นทุนของภาคธุรกิจ และกำลังซื้อของภาคประชาชน

สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในปี 2565 ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่สดใสนัก บริษัทฯ สามารถทำยอดรับรู้รายได้ที่ 6,239.13 ล้านบาท ซึ่งปรับลดลงจากปีก่อนหน้า 5.3% อย่างไรก็ดีในสถานการณ์ที่เงินเฟ้อเร่งตัว ราคาสินค้าต่างๆ ปรับเพิ่มขึ้น แต่บริษัทฯ ยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆ ได้ดี โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่ 39.1% ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 33% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดรับรู้รายได้ (SG&A/Revenues) ในปี 2565 ของบริษัทฯ อยู่ที่ระดับ 10% ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดซึ่งอยู่ที่ราว 15% ในส่วนของต้นทุนการเงินบริษัทมีการออกหุ้นกู้ไปในช่วงต้นปีก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะเร่งตัวขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการเงินทุนอย่างเหมาะสม ทำให้บริษัทฯ มีต้นทุนทางการเงินในระดับที่ต่ำ ทั้งนี้ในปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,271.5 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ 20.4% ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 12%

ชูรัชฏ์ กล่าวถึงผนการขยายธุรกิจในปี 2565 ที่ผ่านมาว่า บริษัทฯ สามารถขยายเปิดโครงการใหม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 11 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,500 ล้านบาท และเตรียมขยายโครงการต่อเนื่องในปี 2566 นี้อีก 10 – 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขายสำหรับปี 2566 นี้ไว้อยู่ที่ 8,600 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 6,850 ล้านบาท หรือขยายตัวราว 10% ในส่วนสถานะทางการเงิน บริษัทมีการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินอย่างรัดกุม มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นปี 2565 แม้บริษัทฯ จะมีการขยายธุรกิจอย่างมาก แต่ยังคงมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.55 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่า และมีระดับหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E Ratio) เพียง 0.29 เท่า

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเห็นชอบนำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในการจัดสรรกำไรสำหรับปี 2565 ให้กับผู้ถือหุ้น โดยเสนอให้จ่ายเงินปันผลรวมทั้งปีในอัตราหุ้นละ 0.64 บาท ซึ่งหากคิดที่ราคาหุ้นปัจจุบัน คิดเป็น Dividend Yield อยู่ที่ระดับราว 7% โดยบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วที่ 0.305 บาท ดังนั้นจะเหลือจ่ายเพิ่มเติมอีก 0.335 บาทต่อหุ้น ซึ่งได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 16 มีนาคม 2566 (หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 15 มีนาคม 2566) และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566