กกร. เดินหน้าขับเคลื่อน “คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน” รวมพลังทุกภาคส่วนต้านคอร์รัปชัน เปลี่ยนภาพลักษณ์ไทยโปร่งใส แข่งขันเป็นธรรม
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย พร้อมด้วย คณะทำงาน “Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน” ต่อยอดจากโครงการ Reinvent Thailand ร่วมแถลงจุดยืนร่วมของภาคเอกชนในการสร้างประเทศไทยโปร่งใส แข่งขันได้ อย่างยั่งยืน

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน กล่าวว่าที่ประชุม กกร. เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 มีมติตั้ง “คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน” เพื่อรวบรวมข้อเสนอจากภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม นำไปจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเสนอรัฐบาลอย่างเป็นระบบ โดยหวังให้มาตรการต่อต้านคอร์รัปชันเกิดผลในทางปฏิบัติ ฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน และสร้างระบบเศรษฐกิจ การเมืองที่โปร่งใสและเป็นธรรม
คณะทำงานฯ ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อเสริมความเข้มแข็งและขยายผลการทำงาน สะท้อนจุดยืนภาคเอกชนไทยที่ “ไม่ทนต่อคอร์รัปชันทุกรูปแบบ” การจัดตั้งคณะทำงานนี้ยังสอดคล้องกับแนวคิด Reinvent Thailand ที่มุ่งยกระดับขีดความสามารถประเทศ โดยเริ่มจากการแก้คอร์รัปชันและเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการแข่งขัน
นอกจากความร่วมมือ 3 หน่วยงานภายใต้กกร.แล้ว โครงการฯ ยังได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายสำคัญ ได้แก่ 1. องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันแห่งประเทศไทย (ACT) 2. แนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) และ 3. สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) รวมถึงหน่วยงานวิชาการ เช่น มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) เพื่อร่วมกันออกแบบนโยบาย ระบบ และกลไกสร้างสังคมโปร่งใส ตรวจสอบได้
พร้อมกันนี้ได้จัดทำ Action Plan ที่ทุกภาคส่วนร่วมปฏิบัติจริง ขณะเดียวกัน การทำงานยังเชื่อมโยงไปยังหน่วยป้องกันและปราบปรามการทุจริต อาทิ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ·(ป.ป.ช.) , สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันการบังคับใช้กฎหมายเชิงระบบ พร้อมได้รับแรงสนับสนุนจากเครือข่ายเอกชนหลายภาคส่วน เช่น ตลาดหลักทรัพย์ฯ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย หอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย รวมถึงสมาคมการค้าและผู้ประกอบการต่าง ๆ เช่น สมาคมตลาดสดไทย สมาคมผู้ค้าปลีกไทย สมาคมโรงแรม และสมาคมภัตตาคารไทย เป็นต้น ที่พร้อมร่วมประชาสัมพันธ์และขับเคลื่อนโครงการต่อเนื่อง

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยในวันนี้ไม่ได้เพียงแค่ผลิตสินค้าเพื่อแข่งขันในตลาดโลกเท่านั้น แต่กำลังก้าวสู่ยุคที่ต้องผลิต ‘ความโปร่งใส’ เป็นมาตรฐานใหม่ของการดำเนินธุรกิจ เพราะการทุจริตไม่ใช่แค่ปัญหาทางศีลธรรมที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของสังคม แต่คือ ‘ต้นทุนที่มองไม่เห็น’ ที่กัดกร่อนศักยภาพของประเทศ ทั้งด้านการลงทุน เทคโนโลยี และโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต
ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการสร้างระบบที่สุจริต ตรวจสอบได้ และยึดหลักธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศในทุกมิติไม่ว่าจะเป็นด้านดิจิทัล นวัตกรรม มาตรฐานสากล หรือการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตที่มีคุณภาพและได้รับความเชื่อมั่นจากประชาคมโลก
“การพัฒนาเศรษฐกิจไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากยังมีร่องรอยของการทุจริตแทรกอยู่ในระบบ เพราะทุกการกระทำที่ไม่โปร่งใส คือ อุปสรรคต่อการเติบโตของชาติและความเชื่อมั่นของนักลงทุน วันนี้คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน จึงรวมพลังจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันต่อต้านการทุจริตอย่างจริงจัง สร้างประเทศ ที่โปร่งใส เป็นธรรม และแข่งขันได้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” เกรียงไกร กล่าว

กอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่าประเทศไทยเผชิญความท้าทายใน 3 ด้าน คือ 1. ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง มีเศรษฐกิจนอกระบบสูงเป็นลำดับต้นๆ ในเอเชียที่ราว 48% ของ GDP อีกทั้ง หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงเมื่อรวมหนี้นอกระบบ เกิน 100% ของ GDP 2. ขาดความสามารถในการแข่งขันในโลกใหม่ โดยเศรษฐกิจไทยเติบโตตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน 3. ความท้าทายของภาครัฐ ที่มีกฎระเบียบจำนวนมากถึงกว่า 100,000 ฉบับ บางส่วนล้าสมัยและซ้ำซ้อน อีกทั้ง ข้อมูลของภาครัฐยังไม่เชื่อมโยงกัน ซึ่งทั้ง 3 ด้านเป็นความท้าทายที่มีความเกี่ยวโยงกับปัญหาคอร์รัปชัน และ Trust and Confidence ในระบบเศรษฐกิจไทย
สมาคมธนาคารไทย พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน ร่วมผลักดัน สอดคล้องกับแนวคิด Reinvent Thailand ที่เน้นการมีส่วนร่วมของเอกชนและภาครัฐ ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำอย่างโปร่งใส ในเรื่องที่มีผลลัพธ์สูง (High Impact) ทั้งด้านการจ้างงานคนไทยและความสามารถในการแข่งขันในการยกระดับประเทศ สอดคล้องแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล รวมไปถึงการที่ประเทศไทยจะต้องปฏิรูปในหลายด้านเพื่อเข้าเป็นสมาชิก องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development :OECD) และเป็นการ Show Case การขับเคลื่อนประเทศเพื่อสร้าง Trust and Confidence ในกลุ่มนักลงทุนและประชาคมโลกในโอกาสที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุม IMF-WBG Annual Meetings ในปี 2569

รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ที่ปรึกษาประจำสภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และคณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน กล่าวว่าการดำเนินงานของคณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน จะเน้นการดำเนินการผ่าน กรอบการดำเนินงาน “6 ด้านต้านทุจริต” ดังนี้
- การปลูกฝังจิตสำนึก ส่งเสริมให้คนไทยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตสำนึกและวัฒนธรรมองค์กรโปร่งใส
- นโยบายต่อต้านการทุจริตในองค์กร ผลักดันให้ภาคธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐมีนโยบาย มาตรการ และการกำกับภายในที่ชัดเจน ครอบคลุมถึงการบริหารทรัพยากรบุคคล การจัดซื้อจัดจ้าง และการประเมินผล เพื่อยกระดับธรรมาภิบาล
- ระบบบริหารความเสี่ยง จัดทำเครื่องมือระบุ วิเคราะห์ และประเมินความเสี่ยงด้านการทุจริตอย่างเป็นระบบ พร้อมแนวทางติดตาม ป้องกัน และตรวจสอบอย่างเข้มงวด
- การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ ผลักดันให้ข้อมูลภาครัฐถูกเปิดเผยในรูปแบบดิจิทัล ให้ภาคเอกชน สื่อมวลชน และประชาชนสามารถเข้าถึง ตรวจสอบ และนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย เชื่อมโยงกับแนวทาง OECD และ OGP
- เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใส ใช้เทคโนโลยี Big Data และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เชื่อมโยงฐานข้อมูลจากหลายหน่วยงาน และสนับสนุนการตรวจสอบแบบ real-time เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันคอร์รัปชั่น
- แนวทางการร้องเรียนและคุ้มครองผู้เปิดเผยข้อมูล สร้างระบบรับเรื่องร้องเรียนที่ปลอดภัย คุ้มครองผู้เปิดโปงข้อมูล และกำหนดแนวทางปฏิบัติให้ทุกภาคส่วนสามารถแจ้งเบาะแสได้โดยไม่ถูกคุกคาม

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลสำรวจ “ดัชนีสถานการณ์ คอร์รัปชันไทย (Thai CSI)” ประจำเดือนมิถุนายน 2568 โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นการสำรวจจาก 3 กลุ่มตัวอย่างหลัก จำนวน 2,400 ตัวอย่าง (ประชาชน, ผู้ประกอบการ/ภาคเอกชน, และข้าราชการ/ภาครัฐ) พบว่า ดัชนีรวมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 36 จากระดับ 37 ในการสำรวจเมื่อเดือนธันวาคม 2567 สะท้อนว่าสถานการณ์ คอร์รัปชัน ไทยในภาพรวมแย่ลง โดยดัชนีย่อยทั้งด้าน “ปัญหาและความรุนแรง” “การป้องกัน” และ “การปราบปราม” ล้วนปรับตัวลดลงทั้งหมด
ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างมีความกังวลต่อสถานการณ์อย่างยิ่ง โดย 87% มองว่าปัญหาคอร์รัปชันในปัจจุบัน “รุนแรงขึ้น” เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และ 74% คาดการณ์ว่า “จะรุนแรงขึ้น” ในปีหน้า แม้ว่าปัญหาจะยังรุนแรง แต่มีสัญญาณเชิงบวกคือ “ค่าเฉลี่ยความสามารถที่จะทานทนต่อการทุจริต (Tolerance of Corruption)” ที่ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.92 (ในระดับ 0-10 โดย 0 หมายถึง เกลียดการทุจริตที่สุด) สะท้อนว่าสังคมไทยไม่ยอมรับและไม่ทนต่อปัญหานี้อย่างชัดเจน

และเมื่อมีการเจาะลึกถึงสาเหตุสำคัญที่สุดของการทุจริต กลุ่มตัวอย่างระบุว่าเกิดจาก “ความไม่เข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมาย” (13.5%) “กระบวนการทางการเมืองขาดความโปร่งใส” (11.6%) และ “ผลประโยชน์ทางการเมือง” (11.3%) โดยรูปแบบการทุจริตที่พบบ่อยที่สุดคือ “การไม่เปิดเผยข้อมูล หรือเปิดเผยข้อมูลไม่ครบถ้วน” (13.7%) “การเอื้อประโยชน์แก่ญาติ/พรรคพวก (Nepotism & cronyism)” (12.3%) และ “การใช้ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์แก่พรรคพวก” (10.9%)
สำหรับข้อเสนอเร่งด่วนที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการมากที่สุด คือ “การตรวจสอบการทุจริตของนักการเมือง” (11.5%) และ “สนับสนุนให้เครือข่าย/ภาคธุรกิจ/ภาคประชาชนในการตรวจสอบ” (11.5%) ขณะที่กลยุทธ์สำคัญที่รัฐควรให้ความสำคัญอันดับแรก คือ “การสร้างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส ตรวจสอบได้โดยบุคคลภายนอก” (22.9%) และ “การวางนโยบายเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการแข่งขันอย่างโปร่งใสและเท่าเทียม” (22.1%)
“ผลดัชนี CSI ที่ปรับตัวลดลงครั้งนี้สะท้อนวิกฤตความเชื่อมั่นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการที่ดัชนีย่อยทั้งด้านการป้องกัน การปราบปราม และความรุนแรงของปัญหา แย่ลงพร้อมกันทั้งหมด สิ่งที่น่ากังวลคือความเชื่อมั่นต่อองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ปราบปรามการทุจริตอยู่ในระดับต่ำมาก ในทางกลับกันความเชื่อมั่นต่อพลังของภาคประชาชนและสื่อมวลชนกลับเพิ่มสูงขึ้น ภาครัฐจึงต้องเร่งพิสูจน์ตัวเองโดยการ ‘บังคับใช้กฎหมาย’ อย่างจริงจัง และสร้าง ‘กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส’ เพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นกลับคืนมาโดยด่วน”
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทยฯ กล่าวถึง Action Plan แบบ Quick Impact ภายใน 6 เดือน เพื่อเร่งลดคอร์รัปชันในสังคมไทย ครอบคลุม 6 ด้านสำคัญ ได้แก่
- ปลูกฝังจิตสำนึกต่อต้านคอร์รัปชัน โดยการรณรงค์ “เลือกตั้งสุจริต ไม่เลือกคนคดโกง ไม่รับซื้อเสียง” พร้อมย้ำเจตนารมณ์เอกชน “ฮั้วไม่จ่ายใต้โต๊ะ” และจัดเวทีความรู้เรื่องทุนเทา บัญชีม้า และนอมินี เพื่อสรุปปัญหาและแนวทางจัดการอย่างเป็นรูปธรรม
- นโยบายต่อต้านทุจริตในองค์กร เพื่อเร่งผลักดันสมาชิกธุรกิจเข้าร่วม CAC วางระบบควบคุมภายใน ปฏิเสธสินบน และยกระดับมาตรฐานจรรยาบรรณ ควบคู่การเร่งปฏิรูประเบียบกฎหมาย (Regulatory Guillotines) ผลักดัน พ.ร.บ.อำนวยความสะดวก–ยกระดับภาครัฐสมัยใหม่ รวมถึงสนับสนุนการเข้าร่วม OECD และ OGP
- ระบบบริหารความเสี่ยง โดยการสำรวจปัญหาการถูกเรียกรับสินบน และประกาศ “10 สินบนที่ไม่ยอมทนอีกต่อไป” พร้อมเก็บข้อมูลจากเครือข่าย กกร. และติดตามดัชนี CSI, CPI เพื่อประเมินสถานการณ์คอร์รัปชันอย่างต่อเนื่อง
- เปิดเผยข้อมูลภาครัฐ ผลักดันการเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็นต่อการต่อต้านคอร์รัปชัน ตามมาตรฐาน Open Data Charter จำนวน 25 ชุดข้อมูล
- เทคโนโลยีตรวจสอบโปร่งใส ใช้ฐานข้อมูล ACT AI เพื่อตรวจสอบและติดตามกรณีทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่องทางร้องเรียนและคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส รณรงค์ “เรียกรับ…เราร้อง” เปิดช่องทาง “ฟ้องโกงทันใจ” ผ่าน Corruption Watch เพื่อให้ประชาชน ข้าราชการ และนักธุรกิจไทย ต่างชาติ แจ้งเบาะแสได้อย่างปลอดภัย ไม่ถูกกลั่นแกล้งหรือฟ้องปิดปาก

“Zero Corruption: กกร. และเพื่อนไม่ทน” คือการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศจากภาคธุรกิจและประชาชน เพื่อปลดล็อกห่วงโซ่คอร์รัปชันในทุกองค์กร สร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียม ไม่เปิดช่องให้ผู้มีอำนาจหรือธุรกิจสีเทาได้เปรียบ โดยฝ่ายวิชาการทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลและพัฒนาเครื่องมือเชิงนโยบาย ส่วน กกร. และพันธมิตรจะผลักดันการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ กกร. มองว่าคอร์รัปชันทำลายความสามารถแข่งขันและความเชื่อมั่นของนักลงทุน จึงจัดตั้ง “คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. ไม่ทน” เพื่อรวบรวมข้อเสนอจากภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม และจัดทำเป็นนโยบายเชิงโครงสร้างเสนอรัฐบาล เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจ การเมืองที่โปร่งใสและยั่งยืน วันนี้ประเทศไทยยืนอยู่บนทางเลือกระหว่าง “การแข่งขันที่โปร่งใส” กับ “การเติบโตบนความเสี่ยง” การแก้คอร์รัปชันจึงต้องเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิดทั้งสังคมให้มองว่าปัญหานี้เป็นภาระร่วมกัน โดยภาคธุรกิจต้องเป็นพลังสำคัญในการสร้างกระแสและวัฒนธรรม “ไม่ยอมรับคอร์รัปชัน” เพื่อให้ประเทศเติบโตอย่างมั่นคงและน่าเชื่อถือในระยะยาว


