Wednesday, November 19, 2025
News

กกร. เดินหน้าขับเคลื่อน “คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน” รวมพลังทุกภาคส่วนต้านคอร์รัปชัน เปลี่ยนภาพลักษณ์ไทยโปร่งใส แข่งขันเป็นธรรม

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย พร้อมด้วย คณะทำงาน  “Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน” ต่อยอดจากโครงการ Reinvent Thailand ร่วมแถลงจุดยืนร่วมของภาคเอกชนในการสร้างประเทศไทยโปร่งใส แข่งขันได้ อย่างยั่งยืน 

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน กล่าวว่าที่ประชุม กกร. เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 มีมติตั้ง “คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน” เพื่อรวบรวมข้อเสนอจากภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม นำไปจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเสนอรัฐบาลอย่างเป็นระบบ โดยหวังให้มาตรการต่อต้านคอร์รัปชันเกิดผลในทางปฏิบัติ ฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน และสร้างระบบเศรษฐกิจ การเมืองที่โปร่งใสและเป็นธรรม  

คณะทำงานฯ ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อเสริมความเข้มแข็งและขยายผลการทำงาน สะท้อนจุดยืนภาคเอกชนไทยที่ “ไม่ทนต่อคอร์รัปชันทุกรูปแบบ” การจัดตั้งคณะทำงานนี้ยังสอดคล้องกับแนวคิด Reinvent Thailand ที่มุ่งยกระดับขีดความสามารถประเทศ โดยเริ่มจากการแก้คอร์รัปชันและเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการแข่งขัน    

นอกจากความร่วมมือ 3 หน่วยงานภายใต้กกร.แล้ว โครงการฯ  ยังได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายสำคัญ ได้แก่  1. องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันแห่งประเทศไทย (ACT)  2. แนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) และ 3. สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ)  รวมถึงหน่วยงานวิชาการ เช่น มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI)  เพื่อร่วมกันออกแบบนโยบาย ระบบ และกลไกสร้างสังคมโปร่งใส ตรวจสอบได้

พร้อมกันนี้ได้จัดทำ Action Plan ที่ทุกภาคส่วนร่วมปฏิบัติจริง ขณะเดียวกัน การทำงานยังเชื่อมโยงไปยังหน่วยป้องกันและปราบปรามการทุจริต อาทิ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ·(ป.ป.ช.) , สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ  (ป.ป.ท.) และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันการบังคับใช้กฎหมายเชิงระบบ พร้อมได้รับแรงสนับสนุนจากเครือข่ายเอกชนหลายภาคส่วน เช่น ตลาดหลักทรัพย์ฯ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย  สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์  สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย หอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย รวมถึงสมาคมการค้าและผู้ประกอบการต่าง ๆ เช่น  สมาคมตลาดสดไทย สมาคมผู้ค้าปลีกไทย สมาคมโรงแรม และสมาคมภัตตาคารไทย เป็นต้น ที่พร้อมร่วมประชาสัมพันธ์และขับเคลื่อนโครงการต่อเนื่อง

เกรียงไกร เธียรนุกุล  ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า  ภาคอุตสาหกรรมไทยในวันนี้ไม่ได้เพียงแค่ผลิตสินค้าเพื่อแข่งขันในตลาดโลกเท่านั้น แต่กำลังก้าวสู่ยุคที่ต้องผลิต ‘ความโปร่งใส’ เป็นมาตรฐานใหม่ของการดำเนินธุรกิจ เพราะการทุจริตไม่ใช่แค่ปัญหาทางศีลธรรมที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของสังคม แต่คือ ‘ต้นทุนที่มองไม่เห็น’  ที่กัดกร่อนศักยภาพของประเทศ ทั้งด้านการลงทุน เทคโนโลยี และโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต

ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการสร้างระบบที่สุจริต ตรวจสอบได้ และยึดหลักธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศในทุกมิติไม่ว่าจะเป็นด้านดิจิทัล นวัตกรรม มาตรฐานสากล หรือการพัฒนาอย่างยั่งยืน  ซึ่งจะทำให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตที่มีคุณภาพและได้รับความเชื่อมั่นจากประชาคมโลก

การพัฒนาเศรษฐกิจไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากยังมีร่องรอยของการทุจริตแทรกอยู่ในระบบ เพราะทุกการกระทำที่ไม่โปร่งใส คือ อุปสรรคต่อการเติบโตของชาติและความเชื่อมั่นของนักลงทุน วันนี้คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน  จึงรวมพลังจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันต่อต้านการทุจริตอย่างจริงจัง สร้างประเทศ   ที่โปร่งใส เป็นธรรม และแข่งขันได้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” เกรียงไกร กล่าว

กอบศักดิ์  ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่าประเทศไทยเผชิญความท้าทายใน 3 ด้าน คือ 1. ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง มีเศรษฐกิจนอกระบบสูงเป็นลำดับต้นๆ ในเอเชียที่ราว 48% ของ GDP อีกทั้ง หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงเมื่อรวมหนี้นอกระบบ เกิน 100% ของ GDP  2. ขาดความสามารถในการแข่งขันในโลกใหม่ โดยเศรษฐกิจไทยเติบโตตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน  3. ความท้าทายของภาครัฐ ที่มีกฎระเบียบจำนวนมากถึงกว่า 100,000 ฉบับ บางส่วนล้าสมัยและซ้ำซ้อน อีกทั้ง ข้อมูลของภาครัฐยังไม่เชื่อมโยงกัน ซึ่งทั้ง 3 ด้านเป็นความท้าทายที่มีความเกี่ยวโยงกับปัญหาคอร์รัปชัน และ Trust and Confidence ในระบบเศรษฐกิจไทย

สมาคมธนาคารไทย พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน ร่วมผลักดัน สอดคล้องกับแนวคิด Reinvent Thailand ที่เน้นการมีส่วนร่วมของเอกชนและภาครัฐ ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำอย่างโปร่งใส ในเรื่องที่มีผลลัพธ์สูง (High Impact) ทั้งด้านการจ้างงานคนไทยและความสามารถในการแข่งขันในการยกระดับประเทศ สอดคล้องแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล     รวมไปถึงการที่ประเทศไทยจะต้องปฏิรูปในหลายด้านเพื่อเข้าเป็นสมาชิก องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development :OECD)  และเป็นการ Show Case การขับเคลื่อนประเทศเพื่อสร้าง Trust and Confidence ในกลุ่มนักลงทุนและประชาคมโลกในโอกาสที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุม IMF-WBG Annual Meetings ในปี 2569

รศ.ดร.เสาวณีย์  ไทยรุ่งโรจน์ ที่ปรึกษาประจำสภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และคณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน กล่าวว่าการดำเนินงานของคณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน จะเน้นการดำเนินการผ่าน กรอบการดำเนินงาน “6 ด้านต้านทุจริต” ดังนี้

  1. การปลูกฝังจิตสำนึก ส่งเสริมให้คนไทยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตสำนึกและวัฒนธรรมองค์กรโปร่งใส
  2. นโยบายต่อต้านการทุจริตในองค์กร ผลักดันให้ภาคธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐมีนโยบาย มาตรการ และการกำกับภายในที่ชัดเจน ครอบคลุมถึงการบริหารทรัพยากรบุคคล การจัดซื้อจัดจ้าง และการประเมินผล เพื่อยกระดับธรรมาภิบาล
  3. ระบบบริหารความเสี่ยง  จัดทำเครื่องมือระบุ วิเคราะห์ และประเมินความเสี่ยงด้านการทุจริตอย่างเป็นระบบ พร้อมแนวทางติดตาม ป้องกัน และตรวจสอบอย่างเข้มงวด
  4. การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ ผลักดันให้ข้อมูลภาครัฐถูกเปิดเผยในรูปแบบดิจิทัล ให้ภาคเอกชน สื่อมวลชน และประชาชนสามารถเข้าถึง ตรวจสอบ และนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย เชื่อมโยงกับแนวทาง OECD และ OGP
  5. เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใส ใช้เทคโนโลยี Big Data และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เชื่อมโยงฐานข้อมูลจากหลายหน่วยงาน และสนับสนุนการตรวจสอบแบบ real-time เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันคอร์รัปชั่น
  6. แนวทางการร้องเรียนและคุ้มครองผู้เปิดเผยข้อมูล สร้างระบบรับเรื่องร้องเรียนที่ปลอดภัย คุ้มครองผู้เปิดโปงข้อมูล และกำหนดแนวทางปฏิบัติให้ทุกภาคส่วนสามารถแจ้งเบาะแสได้โดยไม่ถูกคุกคาม

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลสำรวจ “ดัชนีสถานการณ์ คอร์รัปชันไทย (Thai CSI)” ประจำเดือนมิถุนายน 2568 โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นการสำรวจจาก 3 กลุ่มตัวอย่างหลัก จำนวน 2,400 ตัวอย่าง (ประชาชน, ผู้ประกอบการ/ภาคเอกชน, และข้าราชการ/ภาครัฐ) พบว่า   ดัชนีรวมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 36 จากระดับ 37 ในการสำรวจเมื่อเดือนธันวาคม 2567 สะท้อนว่าสถานการณ์ คอร์รัปชัน ไทยในภาพรวมแย่ลง โดยดัชนีย่อยทั้งด้าน “ปัญหาและความรุนแรง” “การป้องกัน” และ “การปราบปราม” ล้วนปรับตัวลดลงทั้งหมด 

ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างมีความกังวลต่อสถานการณ์อย่างยิ่ง โดย 87% มองว่าปัญหาคอร์รัปชันในปัจจุบัน “รุนแรงขึ้น” เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และ 74% คาดการณ์ว่า “จะรุนแรงขึ้น” ในปีหน้า แม้ว่าปัญหาจะยังรุนแรง แต่มีสัญญาณเชิงบวกคือ “ค่าเฉลี่ยความสามารถที่จะทานทนต่อการทุจริต (Tolerance of Corruption)” ที่ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.92 (ในระดับ 0-10 โดย 0 หมายถึง เกลียดการทุจริตที่สุด) สะท้อนว่าสังคมไทยไม่ยอมรับและไม่ทนต่อปัญหานี้อย่างชัดเจน

และเมื่อมีการเจาะลึกถึงสาเหตุสำคัญที่สุดของการทุจริต กลุ่มตัวอย่างระบุว่าเกิดจาก “ความไม่เข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมาย” (13.5%) “กระบวนการทางการเมืองขาดความโปร่งใส” (11.6%) และ “ผลประโยชน์ทางการเมือง” (11.3%) โดยรูปแบบการทุจริตที่พบบ่อยที่สุดคือ “การไม่เปิดเผยข้อมูล หรือเปิดเผยข้อมูลไม่ครบถ้วน” (13.7%) “การเอื้อประโยชน์แก่ญาติ/พรรคพวก (Nepotism & cronyism)” (12.3%) และ “การใช้ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์แก่พรรคพวก” (10.9%)

สำหรับข้อเสนอเร่งด่วนที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการมากที่สุด คือ “การตรวจสอบการทุจริตของนักการเมือง” (11.5%) และ “สนับสนุนให้เครือข่าย/ภาคธุรกิจ/ภาคประชาชนในการตรวจสอบ” (11.5%) ขณะที่กลยุทธ์สำคัญที่รัฐควรให้ความสำคัญอันดับแรก คือ “การสร้างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส ตรวจสอบได้โดยบุคคลภายนอก” (22.9%) และ “การวางนโยบายเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการแข่งขันอย่างโปร่งใสและเท่าเทียม” (22.1%)

“ผลดัชนี CSI ที่ปรับตัวลดลงครั้งนี้สะท้อนวิกฤตความเชื่อมั่นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการที่ดัชนีย่อยทั้งด้านการป้องกัน การปราบปราม และความรุนแรงของปัญหา แย่ลงพร้อมกันทั้งหมด สิ่งที่น่ากังวลคือความเชื่อมั่นต่อองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ปราบปรามการทุจริตอยู่ในระดับต่ำมาก ในทางกลับกันความเชื่อมั่นต่อพลังของภาคประชาชนและสื่อมวลชนกลับเพิ่มสูงขึ้น ภาครัฐจึงต้องเร่งพิสูจน์ตัวเองโดยการ ‘บังคับใช้กฎหมาย’ อย่างจริงจัง และสร้าง ‘กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส’ เพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นกลับคืนมาโดยด่วน”

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทยฯ กล่าวถึง Action Plan แบบ Quick Impact ภายใน 6 เดือน เพื่อเร่งลดคอร์รัปชันในสังคมไทย ครอบคลุม 6 ด้านสำคัญ ได้แก่

  1. ปลูกฝังจิตสำนึกต่อต้านคอร์รัปชัน โดยการรณรงค์ “เลือกตั้งสุจริต ไม่เลือกคนคดโกง ไม่รับซื้อเสียง” พร้อมย้ำเจตนารมณ์เอกชน “ฮั้วไม่จ่ายใต้โต๊ะ” และจัดเวทีความรู้เรื่องทุนเทา บัญชีม้า และนอมินี เพื่อสรุปปัญหาและแนวทางจัดการอย่างเป็นรูปธรรม
  2. นโยบายต่อต้านทุจริตในองค์กร เพื่อเร่งผลักดันสมาชิกธุรกิจเข้าร่วม CAC วางระบบควบคุมภายใน ปฏิเสธสินบน และยกระดับมาตรฐานจรรยาบรรณ ควบคู่การเร่งปฏิรูประเบียบกฎหมาย (Regulatory Guillotines) ผลักดัน พ.ร.บ.อำนวยความสะดวก–ยกระดับภาครัฐสมัยใหม่ รวมถึงสนับสนุนการเข้าร่วม OECD และ OGP
  3. ระบบบริหารความเสี่ยง โดยการสำรวจปัญหาการถูกเรียกรับสินบน และประกาศ “10 สินบนที่ไม่ยอมทนอีกต่อไป” พร้อมเก็บข้อมูลจากเครือข่าย กกร. และติดตามดัชนี CSI, CPI เพื่อประเมินสถานการณ์คอร์รัปชันอย่างต่อเนื่อง
  4. เปิดเผยข้อมูลภาครัฐ ผลักดันการเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็นต่อการต่อต้านคอร์รัปชัน ตามมาตรฐาน Open Data Charter จำนวน 25 ชุดข้อมูล
  5. เทคโนโลยีตรวจสอบโปร่งใส ใช้ฐานข้อมูล ACT AI เพื่อตรวจสอบและติดตามกรณีทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ
  6. ช่องทางร้องเรียนและคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส รณรงค์ “เรียกรับ…เราร้อง” เปิดช่องทาง “ฟ้องโกงทันใจ” ผ่าน Corruption Watch เพื่อให้ประชาชน ข้าราชการ และนักธุรกิจไทย ต่างชาติ แจ้งเบาะแสได้อย่างปลอดภัย ไม่ถูกกลั่นแกล้งหรือฟ้องปิดปาก

“Zero Corruption: กกร. และเพื่อนไม่ทน” คือการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศจากภาคธุรกิจและประชาชน เพื่อปลดล็อกห่วงโซ่คอร์รัปชันในทุกองค์กร สร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียม ไม่เปิดช่องให้ผู้มีอำนาจหรือธุรกิจสีเทาได้เปรียบ โดยฝ่ายวิชาการทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลและพัฒนาเครื่องมือเชิงนโยบาย ส่วน กกร. และพันธมิตรจะผลักดันการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ กกร. มองว่าคอร์รัปชันทำลายความสามารถแข่งขันและความเชื่อมั่นของนักลงทุน จึงจัดตั้ง “คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. ไม่ทน” เพื่อรวบรวมข้อเสนอจากภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม และจัดทำเป็นนโยบายเชิงโครงสร้างเสนอรัฐบาล เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจ การเมืองที่โปร่งใสและยั่งยืน   วันนี้ประเทศไทยยืนอยู่บนทางเลือกระหว่าง “การแข่งขันที่โปร่งใส” กับ “การเติบโตบนความเสี่ยง” การแก้คอร์รัปชันจึงต้องเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิดทั้งสังคมให้มองว่าปัญหานี้เป็นภาระร่วมกัน โดยภาคธุรกิจต้องเป็นพลังสำคัญในการสร้างกระแสและวัฒนธรรม “ไม่ยอมรับคอร์รัปชัน” เพื่อให้ประเทศเติบโตอย่างมั่นคงและน่าเชื่อถือในระยะยาว