กพร.เดินหน้ายุทธศาสตร์ “เหมืองแร่สีเขียว”หนุนพัฒนาพื้นที่ EEC สร้างสมดุลเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม-ชุมชน
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านของภาคอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน อุตสาหกรรมเหมืองแร่ของไทยยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะต้นน้ำของห่วงโซ่การผลิตวัสดุและพลังงาน โดยข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ระบุว่าภาคเหมืองแร่ของประเทศมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 1.8 ท่ามกลางความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและความคาดหวังของสังคมต่อการดำเนินงานอย่างโปร่งใสและรับผิดชอบ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) จึงเดินหน้าขับเคลื่อนแนวคิด “เหมืองแร่เพื่อชุมชน” เพื่อให้ชุมชนโดยรอบเหมืองแร่ที่มีจำนวนกว่า 480 เหมือง หรือ 850 แปลงประทานบัตร ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการแร่และสร้างระบบนิเวศที่สมดุลและยั่งยืน ภายใต้นโยบาย “ปิดเร็ว-เปิดเร็ว-พึ่งพาได้” ของกระทรวงอุตสาหกรรม ผ่านการยกระดับภาคการผลิตแร่ของไทยให้เติบโตอย่างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตชุมชน โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ได้วางรากฐาน “เหมืองแร่สีเขียว” และการร่วมแผนผังโครงการเหมืองแร่ที่หมู่เหมืองเขาเชิงเทียน จังหวัดชลบุรี ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในต้นแบบของการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมเป้าหมาย และสร้างความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง

จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการเหมืองแร่ในพื้นที่กลุ่มเขาเชิงเทียน จังหวัดชลบุรี ถือเป็นภารกิจสำคัญภายใต้นโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของประเทศให้เดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเหมืองแร่กลุ่มเขาเชิงเทียนเป็นแหล่งผลิตหินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างที่สำคัญ โดยเฉพาะหินปูนและหินแกรนิตทรัพยากรสำคัญสำหรับพื้นที่ภาคตะวันออกที่มีศักยภาพในการสนับสนุนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะในบริบทของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC และที่สำคัญคือ ผู้ประกอบการได้ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองทำให้ใช้ทรัพยากรแร่อย่างคุ้มค่า สร้างความปลอดภัย และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
โดยได้กำชับให้ผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ดำเนินการอย่างเข้มข้น ใน 3 ประเด็น ประเด็นที่ 1 ให้ความสำคัญกับมาตรการทางด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย โดยเหมืองแร่ที่ผลิตหินปูนและหินแกรนิตต้องมีการจัดการฝุ่นละอองและเสียงที่เกิดจากการระเบิดและการโม่หินอย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันระหว่างอุตสาหกรรมกับชุมชน รวมทั้งฟื้นฟูพื้นที่หลังการทำเหมืองแร่ให้สามารถใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้
ประเด็นที่ 2 ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบการเหมืองแร่และสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด โดยผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ต้องมีมาตรการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความเสี่ยง โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของหน้าเหมืองที่มีความสูงชัน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและการเกิดเหมืองถล่ม
ประเด็นที่ 3 การดูแลชุมชนในพื้นที่รอบเหมืองแร่ ควรมีการตรวจสอบและเฝ้าระวังด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนและชุมชนโดยรอบ ซึ่งถือเป็นประเด็นที่กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำแนวทางการทำงานตามนโยบาย “ปิดเร็ว-เปิดเร็ว-พึ่งพาได้” ซึ่งเป็นทิศทางการทำงานของกระทรวงอุตสาหกรรมในยุคปัจจุบันที่จะต้องเดินหน้าไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
“เราจะดำเนินการ ‘ปิดทันที’ หากพบเหมืองหรือสถานประกอบการใดทำผิดกฎหมาย สร้างผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และต้องดำเนินการ ‘เปิดให้เร็ว’ หากเหมืองหรือสถานประกอบการนั้น ๆ สามารถแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้องตามข้อกำหนดได้ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ และ ‘พึ่งพาได้’ เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมไทยมีรากฐานที่แข็งแกร่ง และสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก” จ่าเอก ยศสิงห์ กล่าว

พงศ์ธสิษฐ์ ปิจนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า อุตสาหกรรมเหมืองแร่ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ศูนย์กลางการพัฒนาอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ โดยจังหวัดชลบุรีมีศักยภาพด้านแหล่งแร่ที่หลากหลาย โดยเฉพาะหินปูนและหินก่อสร้าง ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญต่อการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่ EEC อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในจังหวัดชลบุรีจึงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในจังหวัดชลบุรีมีความสำคัญต่อการจ้างงานของประชาชนในพื้นที่ ดังนั้น การที่ กพร. จัดสรรเงินผลประโยชน์พิเศษจากการทำเหมืองแร่ให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลทั่วประเทศ จึงถือเป็นประโยชน์สำหรับชุมชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในปี 2568 มีองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดชลบุรีที่ได้รับการจัดสรรเงินผลประโยชน์พิเศษ รวม 3 แห่ง ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบลคลองกิ่ว เทศบาลตำบลห้วยกะปิ และองค์การบริหารส่วนตำบลบ่อทอง ซึ่งเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนในพื้นที่ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การพัฒนาถนน สาธารณูปโภค การศึกษา สาธารณสุข และการส่งเสริมอาชีพ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่นให้เกิดผลสำเร็จมากที่สุด

อดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กล่าวว่า กพร. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการบริหารจัดการเหมืองแร่ให้มีประสิทธิภาพและทันสมัย เพื่อวางรากฐานสู่อุตสาหกรรมเหมืองแร่แห่งอนาคต โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเหมืองแร่เข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ พัฒนาทักษะแรงงาน และยกระดับมาตรฐานการผลิต เพื่อรองรับความต้องการแร่ธาตุจากอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมทั้งมีระบบการตรวจสอบและติดตามการดำเนินงานของผู้ประกอบการอย่างใกล้ชิด ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในกระบวนการทำเหมืองเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน
ในส่วนของการจัดสรรเงินผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐ ซึ่งเป็นเงินที่รัฐจัดเก็บจากการอนุญาตประทานบัตรและอาชญาบัตรสำรวจแร่ โดยในปี 2568 กพร. ได้กำหนดกลไกการจัดสรรที่ชัดเจนและโปร่งใส จัดสรรงบประมาณกว่า 420 ล้านบาท ไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประมาณ 40 แห่งทั่วประเทศในพื้นที่ที่มีเหมืองแร่ตั้งอยู่ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม สร้างความเข้าใจที่ดีระหว่างชุมชนกับผู้ประกอบการเหมืองแร่ ให้ทุกฝ่ายสามารถเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม
สำหรับโครงการทำเหมืองแร่ในพื้นที่เขาเชิงเทียน ซึ่งมีทั้งหมด 6 ราย เป็นกลุ่มชมรมผู้ประกอบการแร่รวม 7 แปลง มีเนื้อที่รวมประมาณ 700 ไร่เศษ เป็นขุมเหมืองที่มีพื้นที่มากที่สุดในเมืองชลบุรี โดยรวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือกันทั้งในด้านการประกอบธุรกิจ การพัฒนา และยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนรอบเหมือง มีการประกอบกิจการเหมืองแร่ที่เกิดผลกระทบต่ำ รวมถึงมีการสื่อสารกับชุมชนอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เกิดการยอมรับและสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้
“โครงการทำเหมืองแร่ในพื้นที่เขาเชิงเทียนจึงถือเป็นแนวปฏิบัติให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ และเป็นต้นแบบเหมืองระดับประเทศ สอดคล้องกับการดำเนินโครงการ ‘เหมืองแร่สีเขียว’ (Green Mining) ที่มุ่งเน้นการปรับปรุงมาตรฐานการดำเนินงานของเหมืองให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การใช้เทคโนโลยีสะอาด การจัดการน้ำเสีย การลดปริมาณฝุ่น ไปจนถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศหลังการทำเหมือง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้ภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาท้องถิ่น และรองรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาคตะวันออกไปได้อีก 10 ปี โดยจะพยายามเร่งสำรวจจัดหาแหล่งและอนุมัติอนุญาตประทานบัตรต่อไป” อดิทัต กล่าว

