Saturday, April 27, 2024
Latest:
Property

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” แย้มแผนธุรกิจปี’67 เปิดโครงการใหม่ 8 – 12 โครงการ มูลค่า 7,000 – 8,000 ล้านบาท ภายใต้การบริหารแบบยืดหยุ่น สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

ลลิลฯ ประกาศแผนธุรกิจปี 2567 เดินหน้าขยายธุรกิจ สู่การเป็น National Property Company มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยวางแผนเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องอีก 8 – 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 7,000 – 8,000 ล้านบาท เน้นโครงการขนาดเล็ก เพื่อลดความเสี่ยง พร้อมตั้งเป้ายอดขายและยอดรับรู้รายได้เติบโตจากปีก่อนหน้า โดยตั้งยอดขายที่ 6,550 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 5,250 ล้านบาท งบการจัดซื้อที่ดิน 1,500 ล้านบาท

ไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี กล่าวถึงภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ที่ผ่านมาว่า โลกยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงที่ต่อเนื่องมาจากปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ประเด็นขัดแย้งที่ก่อเกิดขึ้นเป็นระยะในหลายภูมิภาค การพยายามควบคุมเงินเฟ้อ โดยขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะเฟดได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ระดับ 5.25% – 5.50% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบกว่า 20 ปี ส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงต่อเนื่องจากปี 2565

ในส่วนของเศรษฐกิจไทย ซึ่งต้องพึ่งพิงต่างประเทศอย่างมาก ทั้งจากการส่งออก การท่องเที่ยว รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในปี 2566 ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ยุโรป ตลอดจนประเทศจีน ส่งผลให้การส่งออกของไทยทั้งปีน่าจะหดตัวที่ราว 1.5% ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว แม้จะสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปี 2565 แต่ก็เป็นการขยายตัวได้ต่ำกว่าเป้าหมาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมา ด้านการบริโภคและการลงทุนภาครัฐ ก็หดตัวลงจากจัดตั้งรัฐบาล และการจัดทำงบประมาณที่ล่าช้า ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ขยายตัวได้ต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้มาก

ในปี 2567 ทั้งธนาคารโลก (World Bank) และ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มองภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2566 อยู่ในภาวะที่ตกต่ำสุด ในส่วนของประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Asia ) มีทิศทางที่ดีหลายประเทศ โดยประเทศที่เป็นซูเปอร์สตาร์ ได้แก่ อินเดียคาดโต 6.3% ฟิลิปปินส์ 5.9% เวียดนาม 5.8% และอินโดนีเซีย 5%

สำหรับประเทศไทย คาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้จะเติบโตที่ 3.2% ซึ่งสอดคล้องกับลลิลฯ ที่คาดว่าธุรกิจจะสามารถขยายตัวได้ราว 2.5% – 3.5% เนื่องจากประเทศไทยมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่มั่นคงติดอันดับโลกและมีเงินทุนสำรองอันดับต้นๆ ของโลก โดยทั้ง World Bank และ IMF มองว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในโซนเขียวระดับกลางๆ

ส่วนภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ไชยยันต์ มองว่ายังคงมีปัจจัยบวก จากอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มนิ่ง และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย การต่ออายุมาตรการภาครัฐ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ไปถึงสิ้นปี 2567 การส่งออกเติบโตเล็กน้อยและการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้น รวมถึงการเข้ามาลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม จะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกันไทยยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง ทั้งปัจจัยจากต่างประเทศและในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ ซึ่งเป็นปัญหาที่ร้ายแรง การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในหลายประเทศสำคัญทั่วโลก มาตรการกระตุ้นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ส่วนปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ ภาระหนี้สาธารณะ โดยเฉพาะภาระหนี้ครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจที่ค่อนข้างสูง ซึ่งขอฝากรัฐบาลชุดนี้เข้าไปแก้ไข ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และ ผลกระทบจากปัญญาภัยแล้งจากผลผลิตทางการเกษตรยังคงเป็นความท้าทายสำหรับในปี 2567 นี้

อย่างไรก็ตาม ลลิลฯยังคงเชื่อมั่นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะตลาด Real Demand ยังคงไปได้ โดยบริษัทฯ จะเน้นการดำเนินธุรกิจ และการขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ในตลาดที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญ และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างดี ในปี 2567 นี้บริษัทฯ วางงบประมาณในการซื้อที่ดินไว้ที่ 1,500 ล้านบาท โดยมีแผนเปิดโครงการเพิ่มเติมที่ 8 – 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 6,550 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 5,250 ล้านบาท ในครึ่งปีแรกจะเปิดตัว 6โครงการ ซึ่งเป็นโครงการที่มีขนาดเล็กลง 20-30 ไร่จากเดิม 40-50 ไร่ กระจายใน 4-5 ทำเล เพื่อลดความเสี่ยง แล้วประเมินความเสี่ยง โดยจะระมัดระวังทุกฝีก้าว

“การทำงานในปี 2566 และปี 2567 เป็นปีที่ท้าทายมาก เทียบกับช่วงปี 2562 ก่อนวิกฤต COVID-19 บ้านปรับตัวลดลง 28% แต่เนื่องจากลลิลฯ เผชิญปัญหาในปี 2540 ซึ่งหนักหนากว่านี้มาก ปีนี้จึงตั้งการ์ดสูง พร้อมสโลแกนปีนี้แห่งการแข่งขันเพื่อความอยู่รอดด้วยคุณภาพและ LEAN โดยมีการบริหารที่ยืดหยุ่น และเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะเราต้องการเป็น National Property Company”ไชยยันต์ กล่าว

ด้านชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN กล่าวว่า ในปีนี้ ลลิลฯ ยังคงเน้นย้ำแนวคิดในการดำเนินธุรกิจเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการดำเนินธุรกิจตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG) นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงปัจจัยการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการประหยัดพลังงานไฟฟ้าและน้ำ การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการให้ลูกค้าได้รับคุณภาพวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และสังคมที่ดี

สำหรับแผนการตลาดในปี 2567 นี้ ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าโดยยึดหลัก Customer Centric ผ่านกลยุทธ์ทั้ง Lifestyle Marketing และ Experience Marketing เสริมประสิทธิภาพด้วยการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ โดยการทำ Brand collaboration เพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ อีกทั้งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่มเป้าหมายด้วย นอกจากนี้ ยังเน้นการทำการตลาดผ่านช่องทาง Digital ในช่องทางใหม่ให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ทั้งยังส่งเสริมให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นด้วย การนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์หา Customer Insights ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่การเป็นองค์กรพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บริหารงานภายใต้แนวคิด Agile Principles โดยใช้กลยุทธ์ด้านดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลง (Digital Transformation) นอกจากนี้ บริษัทฯให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่เป็น Real Demand โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในส่วนของ Design Innovation และ Smart & Flexible Functionของตัวบ้าน เช่น ออกแบบห้องอเนกประสงค์ชั้นล่าง บ้านทุกหลังจะติดตั้ง Ev Charger เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ ยุคใหม่ และยังคงนำรูปแบบความงดงามของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่เรียบหรู มาออกแบบบ้านสไตล์ฝรั่งเศสแบบ French Colonial Style ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญของบริษัทฯที่เป็นรายแรกในการนำมาพัฒนาออกแบบบ้านในสไตล์ดังกล่าว บนทำเลศักยภาพ ในราคาที่คุ้มค่า และจับต้องได้ เพื่อให้สินค้าและบริการสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อยู่เสมอ

“สำหรับราคาบ้านในปีนี้ยังทรงๆ เนื่องจากลลิลฯ มีแผนบริหารต้นทุนก่อสร้างบ้าน และดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี มีการล็อกราคาเหล็กจนถึงเดือนกรกฎาคม ก่อสร้างระบบ Pre -Cast ส่งผลให้ต้นทุนบ้านลลิลฯ ในปีนี้ใกล้เคียงปี 2566” ชูรัชฏ์ กล่าว

ในส่วนของสถานะทางการเงิน บริษัทฯ ดำรงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.76 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 1.45 เท่า ค่อนข้างมาก โดยบริษัทฯ ใช้แหล่งเงินทุนที่หลากหลาย และการบริหารความเสี่ยงทางการเงินอย่างรัดกุมมาโดยตลอด จึงได้รับความเชื่อมั่นจากสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างๆ จึงไม่ประสบปัญหาในเรื่องของแหล่งเงินทุน โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ออกขายหุ้นกู้อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80% ซึ่งได้รับการตอบรับจากสถาบันเข้าลงทุนเต็มจำนวนที่ 500 ล้านบาท