Property

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ปรับโครงสร้างใหญ่กลุ่มธุรกิจคอนโด สู่แบรนด์ “ORIGIN VERTICAL”เตรียมส่งคอนโดใหม่รุกตลาดปีนี้ 14 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ปรับโครงสร้างใหญ่กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม เพื่อให้กลุ่มผู้บริโภคจดจำได้ง่าย และสื่อสารแบรนด์ภายใต้บริษัทเดียว คือ ORIGIN VERTICAL ด้วยแนวคิด “Creative Living for All ภายใต้กลยุทธ์Insight วิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าด้านต่างๆ Initiative นำ Insight มาพัฒนาต่อยอด ริเริ่มฟังก์ชันใหม่ โปรดักส์ใหม่ อย่างสร้างสรรค์ และImplementation นำเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ มาช่วยยกระดับคุณภาพมาตรฐานของโครงการโดยวางแผนการดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ.2567 เตรียมเปิดคอนโดมิเนียมใหม่ 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 20,000 ล้านบาท นำร่องครึ่งปีแรกของปี พ.ศ.2567 จำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9,680 ล้านบาท

เกรียงไกร กรีบงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม ถือเป็นกลุ่มธุรกิจแรกและกลุ่มธุรกิจหลักของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จนมีสินค้าคอนโดมิเนียมครอบคลุมตลาดทุกเซ็กเมนท์ ภายใต้ 3 บริษัทหลัก ได้แก่ 1.บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2.บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมในจังหวัดเศรษฐกิจและจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ 3.บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ มีโครงการสะสม ณ สิ้นปี พ.ศ. 2566 จำนวน 117 โครงการ 56,977 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 189,437 ล้านบาท โดยทยอยส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมที่มีฟังก์ชันตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ คอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์คนรักสัตว์เลี้ยง (Pet Family Condominium) และคอนโดมิเนียมเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน และต่อเนื่อง

สำหรับยอดขายในปี พ.ศ 2566 ถึง 34,704 ล้านบาท เติบโตจากปี พ.ศ.2565 ประมาณ 16% เมื่อออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างหลากหลาย จึงได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมให้ชัดเจนมากขึ้น รวมพลังและทีมงานมืออาชีพจากทั้ง 3 บริษัทในเครือเข้าด้วยกัน และรวมศูนย์การสื่อสารภายใต้แบรนด์และชื่อบริษัทเดียว คือ บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ORIGIN VERTICAL) เพื่อยกระดับการบริหารการออกแบบ การก่อสร้าง และนวัตกรรมต่างๆ ตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย สร้างความพึงพอใจสร้างการจดจำให้แก่ลูกค้า และเพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสารและการจดจำของผู้บริโภค โดยตั้งงบประมาณในการซื้อที่ดินใหม่ๆสำหรับนำมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “ORIGIN VERTICAL” ใน 2-3 ปี ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะเน้นที่ดินที่มีทำเลที่มีศักยภาพและอยู่ในพื้นที่การสัญจรที่สะดวกที่กลุ่มลูกค้าต้องการทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑลและในพื้นที่ต่างจังหวัดท่องเที่ยวและเศรษฐกิจที่สำคัญ

สำหรับการมองหาพื้นที่การขยายโครงการต่างๆของบริษัทฯสู่ต่างจังหวัดเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่อจากพื้นที่ในจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากศักยภาพที่ดิน ราคาที่ดิน ทำเลดิน กำลังซื้อของกลุ่มผู้บริโภคมีจำนวนมากและการแข่งขันของกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และคอนโดมิเนียมยังมีไม่มากเมื่อเทียบกับพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร

“ปัจจัยความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจจะเป็นเรื่องต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น กำลังซื้อของกลุ่มบริโภคที่เข้าถึงสินเชื่อบ้านกำจัดกลุ่มมากขึ้นภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ทรงตัวและภาวะเศรษฐกิจภายนอกประเทศที่เข้ามากระทบความเชื่อมั่นของกลุ่มบริโภคทำให้การตัดสินใจซื้อชะลอตัวลง เป็นต้น” เกรียงไกร กล่าว

สิริพงศ์ ศรีสว่างวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด
กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินงานของ “ORIGIN VERTICAL” จะขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด “Creative Living for All” หรือ สร้างสรรค์ชีวิต คิดเพื่อคุณ มุ่งพัฒนาคอนโดมิเนียมที่คำนึงถึงทุกมิติของการใช้ชีวิต เช่น ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย การปรับสมดุลชีวิต การพักผ่อน ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ นำมาสร้างสรรค์และถ่ายทอดผ่านการคัดเลือกทำเลพัฒนาโครงการ การออกแบบ ฟังก์ชัน ซึ่งเดิมมีฟังก์ชันที่ผู้บริโภคชื่นชอบหลายอย่าง เช่น ตู้เก็บเสื้อผ้าอัจฉริยะ หรือ Smart Closet ห้องครัวอัจฉริยะ หรือ Smart Kitchen ตลอดจนห้องเพดานสูง 4.2 เมตร เมื่อรวมโครงสร้างผู้บริหารและทีมงานมาอยู่ภายใต้ “ORIGIN VERTICAL” เชื่อมั่นว่าจะสามารถพัฒนาและส่งมอบเป็น Creative Living for All ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

อภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ.2567 บริษัทฯจะให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.Insight วิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าด้านต่างๆ เช่น ทำเล การใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ การลงทุน อย่างจริงจัง เพื่อออกแบบสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะในทำเลนั้นๆ 2.Initiative นำ Insight มาพัฒนาต่อยอด ริเริ่มฟังก์ชันใหม่ โปรดักส์ใหม่อย่างสร้างสรรค์ ตอบสนองทุกมิติของการใช้ชีวิต ตอกย้ำสถานะผู้นำตลาดคอนโดมิเนียม และ 3.Implementation นำเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ มาช่วยยกระดับคุณภาพมาตรฐานของโครงการ ตลาดจนบริการต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิตของผู้คน ซึ่งจากกลยุทธ์ดังกล่าว กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมภายใต้ “ORIGIN VERTICAL”  โดยมีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี พ.ศ. 2567 ทั้งสิ้น 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท

ดิ ออริจิ้น เศรษฐบุตร สเตชั่นมูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท

ในครึ่งปีแรกนำร่องจำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9,680 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 3 โครงการ ได้แก่ 1.ออริจิ้น เพลส แจ้งวัฒนะ คาดว่าจะเปิดโครงการได้ประมาณเดือนมีนาคม มูลค่าโครงการประมาณ 2,030 ล้านบาท มีทั้งหมด 700 ยูนิต 2.ออริจิ้น เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์มูลค่าโครงการประมาณ 2,300 ล้านบาท มีทั้งหมด 671 ยูนิต และ3.ดิ ออริจิ้น เศรษฐบุตร สเตชั่นมูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท มีทั้งหมด 742 ยูนิต โดยทั้ง 3 โครงการเป็นคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ ภายใต้แนวคิด Origin Pet Family Condo นอกจากนี้มีโครงการในจังหวัดภูเก็ตอีก 2 โครงการ ได้แก่ 1.โซ ออริจิ้น บางเทา บีช มูลค่าโครงการ 2,5000 ล้านบาท มีทั้งหมด 545 ยูนิต และ 2.ออริจิ้น เพลส เซ็นเตอร์ ภูเก็ต มูลค่าโครงการ1,450 ล้านบาท มีทั้งหมด 581 ยูนิต

ประเสริฐกุล เจริญทวีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่สายงานก่อสร้าง บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์ด้านคุณภาพและการบริการ (Quality & Services) ของบริษัทในปีนี้ จะให้ความสำคัญกับ 4 ด้าน ได้แก่ 1.People Development ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรด้านคุณภาพและบริการอย่างเต็มรูปแบบ ทั้การ Upskill และ Reskill เช่น การจัดกิจกรรมอบรมแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Sharing) ร่วมกับเหล่าพันธมิตรชั้นนำที่มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2.Product Design พัฒนาการออกแบบสินค้าอย่างมีคุณภาพด้วยทีมนักออกแบบมืออาชีพ เพื่อให้โครงการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า 3.Product Quality มุ่งมั่น คัดสรร จัดซื้อวัตถุดิบในการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยกระดับการรับรองคุณภาพงานก่อสร้าง หรือ Quality Assurance ผ่านแอปพลิเคชัน Origin QA ซึ่งเป็น Construction Tech App ที่ให้ทีมงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้าง สามารถเข้ารายงานและดูสถานะของห้องชุดแต่ละห้องในโครงการได้แบบ Real-time โดยแบ่งแยกสถานะแต่ละห้องตามความเรียบร้อยของคุณภาพงานก่อสร้าง เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถเข้าแก้ไขได้อย่างเหมาะสม และ4.Service Excellence ครอบคลุม บริการหลังการขาย ทั้งงานดูแลห้องลูกค้า และดูแลการใช้ชีวิตของลูกค้า ผ่านพันธมิตร ที่หลากหลายทั้งในเครือ และภายนอก เพื่อส่งมอบความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า

กฤษณ์​ เตชะสัมมา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า สำหรับแผนการตลาดในปี พ.ศ.2567 นี้ จะเน้นผ่าน 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.ออริจิ้น เพลส (Origin Place) ราคาประมาณ 2,000,000 บาท เป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมที่ผสมผสานการตกแต่งแบบคลาสสิกและร่วมสมัยเข้าด้วยกัน มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นเยี่ยม ตอบสนองการพักผ่อนและการทำกิจกรรม 2.ดิ ออริจิ้น (The Origin) ราคาประมาณ 3,000-5,000,000 บาท เป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมที่มาพร้อมกับหลากฟังก์ชัน เพื่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในราคาที่จับต้องได้ 3.โซ ออริจิ้น (So Origin) ราคาประมาณ 5,000,000-8,000,000 บาท เป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมสไตล์บูทีคที่ออกแบบให้ทุกพื้นที่ เติมเต็มทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ด้วยบริการระดับโรงแรม และ 4.พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) ราคาประมาณ 8,000,000-30,000,000 บาท เป็นคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี พร้อมอยู่ ใจกลางทำเลย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพมหานคร

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังใส่ใจองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เช่น การติด Solar Panel ใน Sales Gallery โครงการใหม่ การเตรียมจุดชาร์จสำหรับติดตั้ง EV Charger การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่ทั้งสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ผ่าน Origin Give คาดว่าทั้ง 4 แบรนด์จะเข้าถึงตลาดทั้ง Gen Z Gen Y ลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว ตลอดจนลูกค้าชาวต่างชาติ

บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายทั้งปี พ.ศ. 2567 แบรนด์ “ORIGIN VERTICAL” ประมาณ 36,000 ล้านบาท และเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งโครงการร่วมทุน (JV) และ Non-JV รวมกันไว้ที่ 18,000 ล้านบาท